เป็นที่ทราบกันดีว่า 'สิงคโปร์' รั้งตำแหน่งอันดับหนึ่งประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงที่สุดในโลกในปี
2563 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยการจัดอันดับของสถาบัน Institute of
Management Development (IMD) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เกณฑ์สำคัญของการจัดอันดับดังกล่าววิเคราะห์จากประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ
โครงสร้างพื้นฐาน และประสิทธิภาพของภาครัฐ ซึ่งสิงคโปร์มีความโดดเด่นทั้งจากเศรษฐกิจที่มีความแข็งแกร่ง
มาตรการด้านการค้าและการลงทุน การจ้างงาน ตลอดจนมาตรการตลาดแรงงาน
มีการวิเคราะห์ว่า
ประเด็นที่สำคัญที่กลุ่มประเทศที่มีอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันดีในระดับท็อป 5 ในปีนี้ คือเป็นกลุ่มประเทศที่มีขนาดเล็ก ที่มีพื้นฐานเศรษฐกิจดี และสามารถรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งภาครัฐของสิงคโปร์แสดงให้เห็น ขณะที่อีกหลายประเทศถูกลดระดับขีดความสามารถในการแข่งขันลง ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ จากอันดับที่ 3 ไปอยู่อันดับที่ 10 ฮ่องกงจากอันดับที่ 2 ไปอยู่อันดับที่ 5 และจีนจากอันดับที่ 14ไปอยู่อันดับที่ 20 จากปัจจัยเสี่ยงทั้งภายในและภายนอก
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ล่าสุดสิงคโปร์ในฐานะประเทศชั้นนำในกลุ่มอาเซียนได้ก้าวสู่การบริหารงานของรัฐบาลใหม่
หลังจากที่มีการเลือกตั้งเสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา
ซึ่งพรรครัฐบาล People's Action Party (PAP) ยังคงรับชัยชนะจากการเลือกตั้งป็นสมัยที่
15 ติดต่อกัน และคาดว่านายลี เซียน ลุง (Lee Hsien Loong) ซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่
3 ของพรรคจะรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนเกษียณ และส่งไม้ต่อในรุ่นต่อไป
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าผลการเลือกตั้งครั้งนี้
แม้ว่ารัฐบาลจะชนะแต่กลับได้คะแนนเสียงลดลงจากครั้งก่อน
ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของชาวสิงคโปร์ที่มีต่อรัฐบาล หลังจากเกิดปัญหาการแพร่ระบาดของของเชื้อไวรัสโควิด-19
ซึ่งเสมือนว่าประเด็นนี้จะเป็นความท้าทายของความนิยมในรัฐบาลไม่น้อย
เหตุผลสำคัญจากการแก้ปัญหาวิกฤตโควิด-19
ที่เชื่อมโยงกับปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งตัวเลขอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไตรมาส
2 ปี 2563 ของสิงคโปร์ หดตัวลงถึง 12.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ซึ่งอัตรากการหดตัวต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ว่าจะหดตัวเพียง 10.5%
โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการ Circuit
Breaker ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2563
เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19
ประกอบกับการแก้ปัญหาเรื่องผลพวงจากสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจสิงคโปร์
ซึ่งยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2562 มีผลให้จีดีพีสิงคโปร์ในปีนั้นเติบโตเพียง 0.7%
เท่านั้น จากการที่สิงคโปร์เป็นหนึ่งในห่วงโซ่การผลิตที่พึ่งพาการส่งออกไปยังจีนและสหรัฐ
สุดท้ายคือประเด็นเรื่องที่ชาวสิงคโปร์เกิดความไม่มั่นใจในตัวของนาย
Heng
Swee Keat ซึ่งถูกวางตัวเป็นผู้นำสิงคโปร์ต่อจากนาย Lee
Hsien Loong ซึ่งสะท้อนจากผลการเลือกตั้งในพื้นที่เขต East
Coast ที่ฝ่ายรัฐบาลชนะด้วยคะแนนเฉียดฉิว 53.4% แต่ 46.6%
จากนี้ไปประเด็นเหล่านี้โจทย์สำคัญที่รัฐบาลชุดนี้จะต้องเร่งทำงานอย่างหนัก เพื่อฟื้นความมั่นใจจากประชาชน และนักธุรกิจจากทั่วโลกจะต้องจับตามองต่อไปว่าการส่งไม้ต่อทายาททางการเมืองรุ่นที่ 4 ของพรรค สู่มือ Heng Swee Keat จะส่งผลต่อนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศอย่างไรบ้าง
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<
วิเคราะห์เศรษฐกิจ 6 ชาติอาเซียนจากปัจจัย COVID-19
เจาะตลาดสินค้าสุขภาพและความงามในสิงคโปร์