ขณะที่ชาวนาต้องประสบกับปัญหาราคาข้าวตกต่ำเป็นหนี้เป็นสินจากรุ่นสู่รุ่น แต่ก็มีคนรุ่นใหม่ที่เป็นลูกหลานชาวนาไม่น้อย กล้าที่จะกลับมาพลิกฟื้นอาชีพดั้งเดิมของปู่ย่า ตายาย ที่ทำกันมาหลายร้อยปีให้คงอยู่ แต่อาจจะมีการปรับวิธีการทำงานใหม่ นำเทคโนโลยี การจัดการสมัยใหม่มาใช้คนกลุ่มนี้ เรียกว่า “สมาร์ท ฟาร์มเมอร์”
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ทั้งนี้หนึ่งในนั้นมี “ปรีดาธพันธุ์
จันทร์เรือง” ชาวนายุคใหม่ จ.ชัยนาท อยู่ด้วยคนหนึ่ง เขาลาออกจากงานในตำแหน่งผู้จัดการด้านบรรจุภัณฑ์เงินเดือน
60,000 บาท แต่เงินเดือนไม่เคยเหลือเก็บ กระทั่งวันหนึ่งได้ไปดูโครงการเกษตรพอเพียง
จึงได้ข้อคิดกลับมาว่า ในการทำนานั้นหากลดต้นทุนได้แม้ข้าวจะราคาตก ก็ไม่มีคำว่าขาดทุนแน่ๆ
เมื่อความคิดตกผลึกจึงตัดสินใจกลับบ้าน เพื่อจะกลับไปทำนาบนที่ดินกว่า 20
ไร่ของพ่อแม่
เขาตัดสินใจกลับมาทำนาราวๆต้นปี 2557 โดยเริ่มด้วยการศึกษาตลาดก่อนเป็นอันดับแรก
พบว่ากระแสคนรักสุขภาพมาแรงคนสนใจสุขภาพมากขึ้น หลังจากนั้นก็ไปศึกษาว่าข้าวชนิดไหนมีคุณสมบัติเป็นยา
ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปมา 3 ชนิด คือ ข้าวสินเหล็ก ข้าวไรซ์เบอร์รี่ และข้าวหอมมะลิ
ในช่วงเริ่มต้นขอแบ่งพื้นที่มาทำนาแค่
4 ไร่ก่อนสำหรับ ปลูกข้าวไรซ์เบอรี่
กับข้าวสินเหล็กอย่างละ 1 ไร่ และข้าวหอมมะลิ 105 อีก 2 ไร่โดยลดต้นทุนด้วยการไม่ใช้สารเคมี
ใช้แต่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก โรคแมลงก็แก้ด้วยเชื้อราบิเวอร์เรียกับไตรโคเดอร์มา ทำให้ได้ผลผลิตเฉลี่ยสูงถึงไร่ละ
900 กก.
ตอนแรกๆ ที่ผลผลิตข้าวออกมาเอาไปขายตามตลาดนัดกลับไม่ค่อยมีคนซื้อเพราะราคาแพง เนื่องจากตั้งราคาขายไว้สูง
เขาจึงสมัครเป็นสมาชิกยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์ของกรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งได้รับการแนะนำให้รวมกลุ่ม
จึงกลายมาเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนส่งเสริมกสิกรรมไร้สารพิษเมืองชัยนาท
ขณะเดียวกันก็ปรับกลยุทธ์การตลาดใหม่โดยสร้างแบรนด์ในนามแบรนด์ “ออริจิไรซ์” พร้อมกับขายข้าวผ่านอินเตอร์เน็ตทั้งเฟสบุ๊ค ไลน์ แต่ที่ดูจะได้ผลมากที่สุดคือการขายผ่านโครงการผูกปิ่นโตข้าว ของกลุ่มจิตอาสาที่เข้ามาช่วยเหลือชาวนาด้วยการจับคู่ผู้ซื้อและผู้ขายมาเจอกัน
ต่อยอดสู่ ข้าวตอกเม็ดแบรนด์
‘ไบรท์’
หลังจากทำมา 2 ปีกว่า มียอดคำสั่งเข้ามาเยอะมากจนกระทั่งไม่พอขาย
โดยเฉพาะข้าวหอม เพราะโครงการผูกปิ่นโตข้าวมาช่วยด้านการตลาดติดต่อลูกค้าให้
และแนะนำให้ควบคุมปริมาณผลผลิต ปลูกเท่าที่ตลาดต้องการเท่านั้น
โดยกลุ่มลูกค้าหลักๆจะเป็นลูกค้าเป็นกลุ่มรักสุขภาพที่มีกำลังซื้อสูง
ตลาดจึงเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ มีการจองข้าวล่วงหน้า 1-3 ปี จำหน่ายในราคากิโลกรัมละ
80 บาท ผู้จองจะต้องโอนเงินล่วงหน้า
จากนั้นจะมีการรายงานผลการปลูกผ่านไลน์และเฟซบุ๊ก
นอกจากนี้ผลพลอยได้จากการขายทางอินเทอร์เน็ต
ยังทำให้มีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่สนใจมาเที่ยวชม และร่วมปลูกข้าวกับชาวนากลุ่มวิสาหกิจชุมชนส่งเสริมกสิกรรมไร้สารพิษเมืองชัยนาทอีกด้วย
โดยทางกลุ่มมีโฮมสเตย์รองรับ เมื่อถึงเวลาเกี่ยวข้าวนักท่องเที่ยวก็จะพากันกลับมาเกี่ยวข้าวกลับไป
ยิ่งทำให้ลูกค้ารายใหม่ๆเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนไม่ต้องนำข้าวไปขายตามตลาดอีก
หลังจากนั้นปรีดาพันธุ์ยังเข้าร่วมโครงการต่างๆ
ต่อยอดวิถีชาวนาอัจฉริยะ หรือ "สมาร์ทฟาร์มเมอร์”ผ่านหลักสูตรการแปรรูปข้าวเพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรสู่การเริ่มต้นธุรกิจ
โดยร่วมมือกับบริษัท ซีดีไอพี (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อพัฒนาข้าวสู่อาหารเสริม
ข้าวตอกเม็ด แบรนด์ ‘ไบรท์’ ที่ได้รับมาตรฐานการผลิตเพื่อนำไปสู่การส่งออก
สำหรับข้าวที่พัฒนาเป็นอาหารเสริมข้าวตอกเม็ด
คือ ไรซ์เบอร์รี่, ทับทิมชุมแพ, ข้าวสินเหล็ก และข้าวหอมมะลิ พัฒนาเป็น 4 รสชาติที่สอดคล้องกับตลาดนิยม
คือ โกโก้ สตรอเบอร์รี่ วนิลา และทุเรียน โครงการต่อยอดเพิ่มมูลค่าจากข้าวนี้
ช่วยยกระดับขายทั่วไปในตลาดให้มีมูลค่าจาก 15,000 บาทต่อตัน
เมื่อถูกแปลงเป็นข้าวตอกเม็ด พร้อมทานจะขายได้มูลค่าเพิ่มถึง 7 ล้านบาทต่อตันเลยทีเดียว
ความสำเร็จของปรีดาธพันธุ์ ถือเป็นต้นแบบความสำเร็จของการจับมือร่วมกันระหว่างผู้ผลิตโรงงาน และเกษตรกร ร่วมเป็นห่วงโซ่แห่งคุณค่า พัฒนาผลิตภัณฑ์เติบโตในตลาดส่งออก ที่จะเป็นโมเดลในการพัฒนาสินค้าเกษตรของไทยต่อไป
อย่างไรก็ตามกว่าปรีดาพันธุ์จะฝ่าด่านปัญหาอุปสรรคกระทั่งประสบความสำเร็จ
มาเป็นข้าวตอกเม็ด ‘ไบรท์’ ต้องใช้เวลานานพอสมควรต้องมีความอดทน มุ่งมั่นและเรียนรู้ตลอดเวลา แต่ก็นับว่าคุ้มค่ากับเวลาที่รอคอย