โลกปัจจุบันให้ความสำคัญในการทำเกษตรอัจฉริยะ
หรือ Smart Farming กล่าวคือ คาดการณ์ว่าในอีก 30 ปีข้างหน้าประชากรโลกจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 9.7 พันล้านคนโดยประมาณ และทุกคนต้องกิน
ทำให้ความต้องการอาหารของโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 60 % ในทางกลับกันพื้นที่การทำเกษตรจะลดลง
เนื่องจากการขยายตัวของเมืองและประชากร และความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
ซึ่งทุกอย่างมีผลกระทบต่อการผลิตอาหาร
ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตอาหาร มีประชากรในประเทศกว่า 38.9 ล้านคน อยู่ในกลุ่มสินค้าเกษตร การพัฒนาด้านการเกษตรที่ผสานเทคโนโลยี นวัตกรรมและองค์ความรู้ หรือการทำ Smart Farming เพื่อเพิ่ม Productivity พัฒนาคุณภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้า คือความท้าทายที่ภาคเกษตรไทยต้องก้าวข้ามไปให้ได้ เพื่อสามารถตอบโจทย์การเป็นประเทศผู้ผลิตอาหารของโลกอย่างแท้จริง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
เทรนด์โลกกับแนวโน้มด้าน Smart Farming
ผลสำรวจจากสถาบันวิจัย BIS Research ซึ่งเป็นผู้ให้บริการข้อมูลเชิงลึกสำหรับเทคโนโลยีใหม่ๆ
ได้เปิดเผยรายงานฉบับใหม่ “Global Smart Farming Market” มายืนยันด้วยว่า
มีการคาดการณ์แนวโน้มตลาดการเกษตรอัจฉริยะจะขยายตัวได้ถึง 23.14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี ค.ศ. 2022
สะท้อนสัญญาณที่สดใสด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่อยู่ในระดับสูงถึง
19.3%
พร้อมทั้งคาดการณ์ว่าอีกไม่กี่ปีจากนี้
การเกษตรอัจฉริยะจะสร้างผลกระทบมหาศาลให้กับเศรษฐกิจการเกษตร
ปิดช่องว่างระหว่างธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดเล็ก
ปรากฏการณ์นี้จะขยายวงทั้งในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนา
ขณะที่ภาพรวมทั่วโลก
อเมริกาเหนือถือเป็นผู้นำตลาดเกษตรอัจฉริยะระดับโลก
และมีอัตราความต้องการทางการตลาดสูงมาก
ขณะที่เม็กซิโกเป็นประเทศที่ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นตลาดการเกษตรโลกที่เติบโตที่สุดในช่วง
5 ปีจากนี้ ส่วนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกรั้งตำแหน่งตลาดที่มีอัตราเติบโตเร็วที่สุดในช่วงปี
ค.ศ. 2017 – 2022 ด้วยปัจจัย เช่น ขนาดประชากรเมืองเพิ่มขึ้น
สัดส่วนการใช้อินเทอร์เน็ตในการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรที่เพิ่มมากขึ้น และการส่งเสริมการลงทุนจากรัฐบาล
ทั้งยังมีปัจจัยเสริมที่สำคัญ
คือที่การได้แรงหนุนจาก 2 ประเทศใหญ่ในภูมิภาคอย่าง
จีน และอินเดีย
ที่เร่งสปีดตัวเองเพื่อต้องการขยับเป็นผู้นำด้านเกษตรอัจฉริยะในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าของโลกด้วย
Smart Farming ถึงเวลาปฏิวัติเขียว
(อีกครั้ง)
จากข้อเท็จจริง
คือรายได้ของสินค้าเกษตรกลับสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม(GDP)ของประเทศได้ไม่ถึง 10 %
เนื่องจากสินค้าเกษตรส่วนใหญ่ เน้นการส่งออกวัตถุดิบเป็นหลัก
ซึ่งราคาผันผวนตามกลไกของตลาดโลกและการแข่งขัน
ทำให้ที่ผ่านมาภาคเกษตรประสบปัญหาผลผลิตราคาตกต่ำ ขณะที่เกษตรกรในประเทศขายผลิตในรูปแบบวัตถุดิบให้พ่อค้าคนกลางซึ่งเป็นผู้กำหนดราคา
ทั้งไม่มีขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาด ราคาสินค้าขึ้นอยู่กับดีมานด์และซัพพลาย
บางช่วงดีมานด์ตลาดมีมาก ราคาสินค้าปรับตัวขึ้นสูง
เกษตรกรก็จะเพิ่มการผลิตจนเกิดภาวะสินค้าล้นตลาด จนสินค้าชนิดนั้นราคาตกต่ำเป็นวังวนที่ไม่จบสิ้น
ด้วยเหตุนี้จึงถึงเวลาที่เกษตรกรต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่การทำเกษตรรูปแบบใหม่นั่นคือ
การพัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตรภายใต้การทำเกษตรอัจฉริยะ หรือเกษตร 4.0
นโยบายที่ภาครัฐสนับสนุนให้ภาคการเกษตร นำเทคโนโลยีมาใช้ในการเพิ่มผลผลิต พัฒนาภาคการเกษตรให้ยั่งยืนในอนาคต
โดยเปลี่ยนจากการเกษตรแบบดั้งเดิม (Traditional
Farming) สู่การเกษตรสมัยใหม่
ที่เน้นการบริหารจัดการผสมผสานเทคโนโลยี
สิ่งสำคัญเกษตรกรที่สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีได้อย่างเข้าใจ และเข้าถึงจะสามารถหลุดพ้นจากกับดักความยากจนได้
นี่จึงเป็นโอกาสของเกษตรกร และโอกาสของประเทศไทย
หากย้อนอดีตการเปลี่ยนแปลงภาคการเกษตรของโลกครั้งยิ่งใหญ่เมื่อปี
ค.ศ.1944 ที่เรียกว่า “การปฏิวัติเขียว” (The Green
Revolution) ที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา
คือเป็นการนำวิชาวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดมาใช้กับการเกษตร
ทั้งนี้ Smart Farming เกษตรอัจฉริยะ
เป็นการทำเกษตรสมัยใหม่ในยุคดิจิทัลด้วยการใช้เทคโนโลยี Automation อาทิ หุ่นยนต์ เครื่องจักร โดรน AI ฯลฯ
และการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีความแม่นยำสูงเข้ามาช่วยในการทำงาน
ปัจจุบันเข้ายุคโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านนวัตกรรม
และเทคโนโลยีสมัยใหม่ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนตลอดเวลา
ภาคการเกษตรถึงเวลาที่ต้อง “เปลี่ยน”
ซึ่งรัฐบาลไทยพยายามยกระดับการพัฒนาเกษตรกรรมใน 4 ด้านได้แก่
1. การลดต้นทุนในกระบวนการผลิต
2. การเพิ่มคุณภาพมาตรฐานการผลิตและมาตรฐานสินค้า
3. การลดความเสี่ยงในภาคเกษตร
ซึ่งเกิดจากการระบาดของศัตรูพืชและจากภัยธรรมชาติ
4. การจัดการและส่งผ่านความรู้
โดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศจากการวิจัยไปประยุกต์ สู่การพัฒนาในทางปฏิบัติและให้ความสำคัญต่อการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของเกษตรกร
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า
ภายใต้คำจำกัดความคำว่า Smart Farming แปลความหมายได้ว่า
ต่อไปคนปลูกพืชผัก ทำไร่ทำนา ทำสวน ทำปศุสัตว์ ประมง จะไม่ใช่เป็นเกษตรกรแบบเดิมๆ
อีกต่อไป หากแต่เป็น “ผู้ประกอบการเกษตร” หรือนักธุรกิจเกษตร ซึ่งก็คือ Smart
Farmer นั่นเอง
Smart Farm อาจไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ที่ดินมากมาย แต่ที่ดินเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้ได้ผลผลิตสูงและรายได้สูง ด้วยการจัดการเองตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ คือเตรียมพื้นที่อย่างเหมาะสม ลงมือเพาะปลูก ดูแล เก็บเกี่ยว แปรรูป สร้างแบรนด์สินค้า และหาตลาดเอง โดยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ ซึ่งเมื่อตนทุนต่ำ ผลิตผลมีคุณภาพ ก็จะขายได้ราคา และมีผลกำไรเพิ่มขึ้น
IoT พระเองแห่งการพัฒนา
Smart Farming
การเกษตรกรรมที่นำเทคโนโลยีมาช่วยในการจัดการการเกษตรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยเฉพาะระบบการประมวลผลข้อมูล และจัดเก็บข้อมูลทางอากาศจากโดรนและดาวเทียม โดยการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง
(IoT) คือการเชื่อมโยงของอุปกรณ์อัจฉริยะทั้งหลายผ่านอินเทอร์เน็ตที่อาทิ
แอปพลิเคชัน แว่นตากูเกิลกลาส ที่สามารถเชื่อมต่อข้อมูล ทั้งความเร็ว ระยะทาง
สถานที่ และสถิติได้
รวมถึงการมีคุณสมบัติในการตรวจวัด
เข้ามาใช้เพื่อควบคุมอุณหภูมิ ความชื้นในดิน ความชื้นในอากาศ แสง
และปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องในการเพาะปลูก โดยจะเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันในการแสดงผล
การตั้งค่า เก็บข้อมูล และวิเคราะห์ผล
เพื่อให้เกษตรกรสามารถทำการเกษตรได้อย่างแม่นยำ
พื้นฐานของ IoT นั้น
จะเป็นการใช้โครงข่ายอินเทอร์เน็ตในการเชื่อมโยงอุปกรณ์ต่างๆ อาทิเช่น
อุปกรณ์ตรวจวัด ส่วนควบคุมหลัก และหน่วยประมวลผล เพื่อให้อุปกรณ์ตรวจวัดสามารถตรวจวัด
และส่งผลข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมายังอุปกรณ์ควบคุมและหน่วยประมวลผล
เพื่อรายงานผล จัดเก็บข้อมูล และนำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์
เพื่อกำหนดแนวทางดำเนินการ วางแผนงาน และการดูแลฟาร์มให้เป็นไปตามความต้องการ
ดังนั้นแล้วในพื้นที่ฟาร์ม จำเป็นจะต้องมีการวางโครงข่ายพื้นฐานการสื่อสารที่เหมาะสม
โดยปัจจุบันเทคโนโลยีทั้ง 3G และ 4G มีบทบาทอย่างมากในการทำให้แนวคิดของ
IoT เป็นจริงมากขึ้น
ที่สามารถนำข้อมูลที่ได้รับจากการเกษตรในการเพาะปลูกครั้งที่ผ่านมา
หรือจากการเพาะปลูกในพื้นที่ใกล้เคียง มาวิเคราะห์
เพื่อหาวิธีการเพาะปลูกที่เหมาะสมที่สุดกับพื้นที่
นอกจากนี้ เป็นการใช้ IoT ในการตรวจสอบ ตรวจวัด
และติดตามความเปลี่ยนแปลงของตัวแปรต่างๆ เช่น ความชื้น แสงสว่าง และอุณหภูมิ
การควบคุมการทำงานของระบบอัตโนมัติต่างๆ ในช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น การให้น้ำ
ให้ปุ๋ย และให้แสงสว่างที่เหมาะสมเป็นต้น รวมถึงการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย
ตัวอย่างเช่น การใช้รถแทรกเตอร์ขนาดเล็กแบบไม่มีคนขับ ก็จะช่วยลดความเสียหายและเพิ่มผลผลิตได้อีกทางหนึ่ง และยังจะช่วยลดความเสียหายจากการกดทับและเพิ่มผลผลิตต่อไร่ เนื่องจากที่ผ่านมาการใช้รถแทรกเตอร์ขนาดใหญ่ก่อให้เกิดการบดอัดดิน ซึ่งทำให้ความสามารถในการกักเก็บน้ำ ธาตุอากาศ และดินลดลง ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของพืช ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานของภาคเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะที่คนหนุ่มสาวทั่วโลกทำงานในภาคการเกษตรน้อยลงด้วย
นวัตกรรม-เทคโนโลยีที่จำเป็นใน Smart farming
1. การควบคุมโรคและศัตรูพืช
การทำเกษตรจะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูงขึ้น
ช่วยให้สามารถระบุอาการของโรคและเตือนเกษตรกรได้ทันทีเมื่อเกิดปัญหา
ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ทัน อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาเฉพาะจุดได้
นับเป็นผลดีต่อเกษตรกร
2. การตรวจสอบสถานะน้ำและคุณภาพของดิน
เมื่อ IoT เข้ามามีส่วนน่วมทำให้สามารถสร้างสรรค์เทคโนโลยีร่วมกับเซนเซอร์ต่างๆ
เพื่อช่วยวัดอุณหภูมิ ความชื้นของดิน ตรวจสอบสารอาหาร
รวมไปถึงสามารถมีผู้ช่วยส่วนตัวในการทำเกษตรได้
สิ่งเหล่านี้เป็นระบบที่เข้ามามีส่วนช่วยในการตัดสินใจให้กับเกษตรกร และทำให้การทำเกษตรมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
3. การสำรวจทางอากาศเพื่อหาความผิดปกติ
หากมีที่ดินจำนวนมากคงเป็นเรื่องยากที่จะสามารถดูแลทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง
ทำให้เกิดเป็นอุปกรณ์การบินสังเกตการณ์รอบไร่ โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้คนควบคุม
บันทึกสิ่งต่างๆ ที่อยากรู้ในพื้นที่ไร่ของคุณ อีกทั้งยังได้ภาพถ่ายที่มีความละเอียดสูง
และสามารถเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับภาพในอดีตได้
4. บรรจุภัณฑ์และการขนส่ง
อีกปัจจัยที่มีความสำคัญ คือ ระยะเวลาในการขนส่งสินค้า
ทำให้เกษตรกรและผู้ขนส่งพยายามจะดูแลและปกป้องสินค้า โดยการใช้ระบบควบคุม
ดัดแปลงภูมิอากาศ ใช้สารเคมีป้องกันเชื้อรา และเครื่องบันทึกอุณหภูมิ
แต่ระบบเหล่านี้ไม่สามารถลดการเน่าเสีย ลดการเกิดเชื้อโรค ควบคุมการสุก
และปรับปรุงเรื่องความปลอดภัยของสินค้าระหว่างการขนส่งได้ ซึ่งในเวลานี้ Purfresh
จากแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา แก้ปัญหาเหล่านี้ได้
รวมทั้งสามารถดูสินค้าแบบเรียลไทม์ได้
นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่กำลังเข้ามาช่วยด้านเกษตรปัจจุบันได้มีการพัฒนามากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะธุรกิจสตาร์ทอัพในกลุ่ม AgriTech ที่มีบทบาทอย่างมากต่อรูปแบบการทำเกษตรสมัยใหม่ เกษตรกรสามารถนั่งอยู่ในบ้านแล้วสามารถสั่งคำสั่งได้จากสมาร์ทโฟนอย่างเดียวก็เป็นไปได้
อย่างไรก็ตาม
การพัฒนาภาคการเกษตรก้าวสู่ Smart Farming ในประเทศไทยอาจจะต้องใช้เวลาอีกระยะ เนื่องจากเกษตรกรไทยยังขาดองค์ความรู้
นวัตกรรม เทคโนโลยี และเงินลงทุน ที่สำคัญ
หัวใจที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงไม่ยึดติดกับการทำแบบเดิมๆ เพราะอย่างที่เรียนในข้างต้น
แม้เกษตรสมัยใหม่จะผสานเทคโนโลยี นวัตกรรมและองค์ความรู้ ยังต้องประกอบด้วยวิธีคิด
การทำเกษตรแบบ ‘ผู้ประกอบการ’
เพื่อสร้างความมั่นคงทางรายได้
สร้างโอกาสให้กับการพัฒนาประเทศไปสู่รูปแบบเกษตรสมัยใหม่
และยังสร้างความมั่นคงในการเป็นประเทศผู้ผลิตอาหารเลี้ยงประชากรโลก
ทั้งหมดนี้คือเหตุผลว่าทำไม...ภาคเกษตรไทยต้องเป็น
Smart Farming