“เจ๊หมวยเป็ดอบชานอ้อย” กับรสชาติที่คงเดิมตลอดครึ่งศตวรรษ ด้วยมาตรฐานแบบ SME มืออาชีพ

SME in Focus
29/12/2025
รับชมแล้วทั้งหมด 1 คน
“เจ๊หมวยเป็ดอบชานอ้อย” กับรสชาติที่คงเดิมตลอดครึ่งศตวรรษ ด้วยมาตรฐานแบบ SME มืออาชีพ
banner

เมื่อพูดถึงธุรกิจอาหารที่ยืนระยะข้ามรุ่น สิ่งที่ทำให้หลายแบรนด์อยู่ได้ยาวไม่ใช่แค่รสชาติอันโอชา แต่คือระบบคิดแบบครอบครัวที่ดำเนินธุรกิจด้วยความมีวินัย ความละเอียด รวมถึงองค์ความรู้ที่ส่งต่อกันมาอย่างไม่ขาดตอน ซึ่ง “เจ๊หมวยเป็ดอบชานอ้อย” คือหนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนภาพธุรกิจครอบครัวได้อย่างชัดเจน 

เป็ดอบชานอ้อยของครอบครัวเริ่มต้นจากรุ่นคุณพ่อ โดยคุณเพ็ญศรี แซ่โง้ว เข้ามาช่วยงานในโรงงานตั้งแต่อายุสิบกว่าปี นับเป็นการสั่งสมประสบการณ์ด้านการผลิตอาหารมาอย่างยาวนานกว่า 50 ปี 

หลังจากคุณเพ็ญศรีแต่งงานมีครอบครัว เธอจึงแยกตัวออกมาทำกิจการของตนเอง โดยใช้ชื่อเจ๊หมวยเป็ดอบชานอ้อยในพื้นที่ย่านสี่พระยา (ซอยสองพระ) ซึ่งเป็นสถานที่ที่เคยใช้ผลิตและอบเป็ดในช่วงแรก อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดด้านพื้นที่และปัญหาเรื่องควันที่อาจรบกวนชุมชน ประกอบกับการขยายกำลังการผลิตในเวลาต่อมา ครอบครัวจึงตัดสินใจย้ายฐานการผลิตทั้งหมดมาที่มหาชัย

ที่มหาชัยแห่งนี้ คุณเพ็ญศรีได้ซื้อที่ดินและพัฒนาเป็นโรงงานผลิตของครอบครัวโดยเฉพาะ เพื่อรองรับกระบวนการอบเป็ดและการจัดการควันอ้อยตามกรรมวิธีดั้งเดิม ทำให้ปัจจุบันการผลิตทั้งหมดสามารถดำเนินการได้ในสถานที่เดียวอย่างเป็นระบบ

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยคือ วิธีทำที่รุ่นที่ 1 อย่างคุณพ่อของคุณเพ็ญศรีถ่ายทอดไว้ ทั้งการเลือกเป็ด การหมัก การอบ และการดูควันไฟ ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานที่ รุ่นที่ 2 อย่างคุณเพ็ญศรี แซ่โง้ว ยึดถือและปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เจ๊หมวยเป็ดอบชานอ้อยในวันนี้ยังคงรสชาติตรงตามสูตรดั้งเดิมโดยไม่คลาดเคลื่อน ขณะเดียวกัน รุ่นที่ 3 ซึ่งเป็นลูก ๆ ของคุณเพ็ญศรี ได้เริ่มนำแนวคิดเรื่องการเก็บข้อมูลและการบริหารสต๊อกเข้ามาเสริมการทำงานมากขึ้น เพื่อรองรับออเดอร์ที่เพิ่มขึ้นจากการขยายช่องทางการจำหน่าย แม้กระบวนการส่วนใหญ่ในปัจจุบันยังคงใช้วิธีแมนนวลเป็นหลัก แต่ก็ช่วยให้การทำงานมีความเป็นระบบและสอดคล้องกับรูปแบบธุรกิจในยุคปัจจุบันมากขึ้น



H2: ความประณีตของการจัดการวัตถุดิบและกระบวนการ อันเป็นจุดแข็งของธุรกิจครอบครัว

รสชาติของเป็ดอบชานอ้อยที่หลายคนคุ้นเคย ไม่ได้เกิดจากสูตรลับที่ซ่อนอยู่ในสมุดเล่มใด แต่เกิดจากกระบวนการที่ผ่านการทดลอง ภูมิปัญญา และความใส่ใจตั้งแต่รุ่นคุณพ่อของคุณเพ็ญศรี 

ด้วยความที่คุณเพ็ญศรีเริ่มทำงานในโรงงานตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้เธอเข้าใจเนื้อสัตว์ ไฟ และควันในแบบที่อธิบายด้วยตำราไม่ได้ เป็นประสบการณ์ที่สั่งสมขึ้นทีละนิดจนกลายเป็นมาตรฐานของธุรกิจครอบครัว กล่าวคือ ทุกอย่างเริ่มจากการใช้วัตถุดิบที่เหมาะสม เป็ดที่ใช้ต้องเป็น “เป็ดสาวสายพันธุ์ปักกิ่ง” เนื้อไม่เหนียว ไม่คาว ซึ่งได้จากฟาร์มปิดเจ้าประจำที่รู้อายุและไซซ์ที่ตรงตามความต้องการของร้านเสมอ

“หากวัตถุดิบไม่ได้คุณภาพตามที่ต้องการ แม้ขั้นตอนจะดีแค่ไหน ก็ไม่อาจสร้างรสชาติที่สม่ำเสมอได้” คุณเพ็ญศรีกล่าว

เมื่อได้เป็ดมาแล้ว ทางร้านจะนำมาผ่าแบ่งครึ่ง เอาเครื่องในออก ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการหมักด้วยสูตรของทางร้าน โดยจะต้องหมักข้ามคืนอย่างน้อย 6–8 ชั่วโมง เพื่อให้เกลือ น้ำตาล และเครื่องเทศซึมเข้าสู่เนื้อ ด้วยกระบวนการที่มีลักษณะคล้าย “การซึมของเกลือและเครื่องเทศเข้าสู่เนื้อ” (Osmosis) เป็นวิธีการที่ทำให้เนื้อเป็ดพร้อมสำหรับการอบแบบดั้งเดิม

เป็ดทุกตัวจะถูกนำไปอบทั้งหมดสองรอบ รอบแรกทำให้สุกประมาณ 60% เพื่อเตรียมเนื้อให้พร้อมรับควัน ส่วนรอบที่สองนี้เองที่เป็นเอกลักษณ์ของร้าน นั่นคือ การใช้ “ชานอ้อย” จากร้านน้ำอ้อยในละแวกนั้น ซึ่งให้ทั้งกลิ่น สี และความแห้งแบบเฉพาะตัวของสูตรสไตล์จีน

คุณเพ็ญศรีอธิบายว่า หากนำเป็ดไปอบด้วยชานอ้อยตั้งแต่ขั้นตอนแรก เนื้อที่ยังมีความชื้นสูงจะทำให้ควันไม่สามารถจับสีได้อย่างที่ควร จึงต้องอบรอบแรกให้เนื้อสุกและแห้งในระดับหนึ่งก่อน จึงค่อยเข้าสู่การอบด้วยชานอ้อยในรอบถัดไป เทคนิคนี้เป็นรายละเอียดที่คนทั่วไปอาจไม่รู้ แต่ส่งผลโดยตรงต่อสี กลิ่น และคุณภาพของเป็ดในทุกตัว

การอบรอบที่สองยังต้องอาศัยประสบการณ์สูง เพราะแต่ละรอบของการอบในแต่ละวันไม่เคยเหมือนกัน วันหนึ่งอาจลมแรง อีกวันอากาศอาจชื้น ควันอ้อยอาจเปลี่ยนทิศ หรือแรงไฟอาจไม่เสถียร แต่ประสบการณ์กว่า 50 ปีทำให้คุณเพ็ญศรีสามารถมองเพียงควันก็รู้ได้ทันทีว่าเป็ดในเตากำลังจะสุกพอดีหรือเริ่มไหม้

แม้รุ่นลูกของคุณเพ็ญศรีจะเริ่มมีการใช้เครื่องมือเข้ามาช่วย เช่น นาฬิกาจับเวลาเพื่อป้องกันการลืมในวันที่งานเยอะ แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าเทคโนโลยีทำได้เพียงเตือน ไม่ใช่ตัดสิน เพราะขั้นตอนสำคัญยังต้องอาศัยสายตาและประสบการณ์ของคนทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่เจ๊หมวยเป็ดอบชานอ้อยยังคงรสชาติและเอกลักษณ์เหมือนวันแรก เพราะวิธีทำไม่ได้ยึดตามความสะดวก แต่ยึดตามความถูกต้องของกรรมวิธีที่พิสูจน์ด้วยเวลามากว่าครึ่งศตวรรษ



H2: ระบบแมนนวล (Manual) ที่มีความแม่นยำระดับโรงงาน

แม้เป็ดหนึ่งตัวจะผ่านขั้นตอนคล้าย ๆ เดิมทุกวัน แต่เบื้องหลังนั้นเต็มไปด้วยระบบที่ครอบครัวสร้างขึ้นจากประสบการณ์มาเป็นเวลายาวนาน แนวคิดหลักของบ้านนี้คือ ไม่มีคำว่า “เดี๋ยวค่อยดูทีหลัง” ดังนั้น วัตถุดิบทุกชนิดจะต้องถูกกำหนดขั้นต่ำเอาไว้เสมอ ถ้าสต๊อกลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ กระบวนการผลิตจะเริ่มทันทีโดยไม่รอให้ของขาด

คุณเพ็ญศรีอธิบายว่า “ถ้าเหลือต่ำกว่า 5 กิโลฯ ก็ต้องรีบผลิตเพิ่มเลย มันต้องไม่เหลือน้อยไปกว่านี้”

ส่วนในขั้นตอนการรมควัน ร้านเคยทดลองใช้ถังแบบใหม่ลักษณะคล้ายแคปซูลที่มีจำหน่ายทั่วไปในท้องตลาด แต่สุดท้ายต้องเลิกใช้ไป เพราะไม่ตอบโจทย์ทั้งในเรื่องของสี กลิ่น และความเข้มของควัน ควันหนีออกเร็วเกินไปจนความอบอวลภายในเตา ซึ่งเป็นหัวใจของรสชาติหายไปด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ครอบครัวยังคงเลือกใช้เตาอบแบบดั้งเดิมที่ต้องยกเป็ดเข้า–ออกเตา ควบคุมไฟ และเฝ้าดูควันด้วยตัวเองตลอดกระบวนการ แทนการเปลี่ยนมาใช้เครื่องจักรที่ทำงานง่ายกว่าแต่ยากต่อการควบคุมคุณภาพ

ชานอ้อยเองก็เป็นวัตถุดิบที่ต้องเลือกแบบวันต่อวัน ไม่สะสม ไม่ค้างคืน หากเก็บก็ต้องตากแห้งให้สนิท เพราะความชื้นเพียงเล็กน้อยจะส่งผลต่อสี กลิ่น และความแห้งของเนื้อได้ทันที 

ทั้งหมดนี้คือระบบที่ดูแมนนวล แต่เป็นความแมนนวลที่แม่นยำ ให้ผลลัพธ์เทียบเท่าการผลิตที่มีระบบและมาตรฐาน แต่แทนที่จะใช้เครื่องจักรทุกจุด ครอบครัวนี้เลือกที่จะใช้ประสบการณ์จริงเป็นแกนกลางของกระบวนการผลิต และนั่นทำให้เป็ดทุกชิ้นมีรสชาติสม่ำเสมอ อร่อยเหมือนเดิมทุกครั้งที่รับประทาน



H2: การปรับตัวของธุรกิจในวันที่ตลาดไม่เหมือนเดิม

การทำธุรกิจอาหารไม่เคยมีช่วงเวลาที่นิ่ง เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับภาวะตลาด พฤติกรรมของผู้บริโภค และสถานการณ์ไม่คาดคิดอย่างโรคระบาด ซึ่งเจ๊หมวยเป็ดอบชานอ้อยผ่านเหตุการณ์เหล่านี้มาแล้วหลายครั้ง ตั้งแต่โรคระบาดในสัตว์ปีกจนถึงวิกฤตโควิด-19 และทุกครั้งที่เกิดปัญหา ครอบครัวก็เลือกที่จะปรับตัว แทนที่จะหยุดเดินต่อ

ในวันที่ไข้หวัดนกระบาด ผู้บริโภคหยุดซื้อเป็ดทันที รายได้จากการขายที่เคยดำเนินไปตามปกติลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ร้านก็ไม่ได้รอให้สถานการณ์คลี่คลาย หากเลือกปรับสินค้าตามความต้องการของตลาดในทันที

“พอเกิดโรคไข้หวัดนก เป็ดก็ขายไม่ออก เราจึงหันไปขายหมูแทน มันต้องมีอะไรรองรับตลอด เพื่อให้รายได้ไม่หายไปในช่วงวิกฤต”

และแล้วก็มาถึงช่วงโควิด-19 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร้านอาหารหลายแห่งต้องปิดตัวลง แต่เจ๊หมวยเป็ดอบชานอ้อยกลับพบโอกาสใหม่อย่างคาดไม่ถึง เมื่อคนทั้งเมืองไม่ออกจากบ้าน จึงหันมาซื้ออาหารที่สามารถเก็บได้นาน สินค้าที่ซีลสุญญากาศและสามารถแช่แข็งได้อย่างปลอดภัย ทำให้ยอดสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงนั้น นี่คือจุดที่ระบบซีลและฟรีซ ซึ่งเดิมมีจุดประสงค์เพื่อควบคุมคุณภาพ กลายเป็นข้อได้เปรียบเชิงตลาดโดยไม่ตั้งใจ

อีกหนึ่งความท้าทายที่มาเงียบ ๆ แต่มีผลอย่างมาก คือ ซัปพลายวัตถุดิบ ร้านเลือกที่จะไม่พึ่งผู้ขายรายเดียว แต่กระจายความเสี่ยงด้วยการทำงานกับซัปพลายเออร์ถึงสามเจ้า โดยมีหนึ่งเจ้าหลักที่รับผิดชอบ 80-90% ของวัตถุดิบ และอีกสองเจ้าที่ช่วยรองรับเพื่อป้องกันไม่ให้ระบบสะดุด

เมื่อมองภาพรวมทั้งหมด ความสามารถในการปรับตัวของครอบครัวนี้ เกิดจากมุมมองแบบผู้ประกอบการตัวจริงที่เข้าใจว่า ในธุรกิจอาหาร ไม่มีช่วงเวลาใดที่เหมือนเดิม ความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงจึงสำคัญไม่แพ้ความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้า



H2: ส่งออกครั้งแรก คือจุดเปลี่ยนของการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ

อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญของเจ๊หมวยเป็ดอบชานอ้อย คือ การเริ่มส่งออกสินค้าไปยังประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นตลาดที่ให้ความสำคัญอย่างมากกับความสะอาด ความปลอดภัย และมาตรฐานการจัดเก็บอาหาร การก้าวออกไปสู่ตลาดนี้ไม่ได้เป็นเพียงการขยายช่องทางจำหน่าย หากเป็นบททดสอบสำคัญที่ทำให้ครอบครัวต้องทบทวนกระบวนการทำงานทั้งหมดอย่างจริงจัง

การส่งออกไปยังสิงคโปร์ทำให้ระบบที่เคยใช้เพื่อความสะดวกในการขาย ต้องยกระดับขึ้นเป็นมาตรฐานที่สามารถอธิบายและตรวจสอบได้ ตั้งแต่การซีลสินค้า การควบคุมอุณหภูมิระหว่างการจัดเก็บ ไปจนถึงการวางแผนสต๊อกให้สอดคล้องกับรอบการผลิตและการขนส่งระยะไกล

คุณเพ็ญศรีเล่าว่า “การส่งสินค้าไปต่างประเทศต้องใช้เวลานานกว่าสินค้าจะถึงมือลูกค้า ทำให้เราต้องคิดหาวิธีคงคุณภาพและรสชาติให้เหมือนตอนที่ออกจากเตาใหม่ ๆ จุดนี้เองที่ทำให้ครอบครัวเห็นชัดว่า ระบบและวินัยในการจัดการหลังการผลิตเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้ขั้นตอนการปรุงหรือการอบในเตา”

จากประสบการณ์การส่งออกครั้งนั้น สิ่งที่เคยเป็นเพียง “วิธีทำงานของร้าน” ค่อย ๆ กลายเป็น “ระบบ” ที่ต้องอาศัยทั้งวินัย ความต่อเนื่อง และคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะเข้ามารับช่วงต่อ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตทั้งในและนอกประเทศ


H2: การส่งต่อที่มากกว่าแค่สืบทอดกิจการ แต่เป็นการสืบทอดมาตรฐาน

สำหรับเจ๊หมวยเป็ดอบชานอ้อย การส่งต่อธุรกิจไม่ได้เกิดขึ้นในคราวเดียว หากเป็นกระบวนการที่ค่อย ๆ ดำเนินไปตามความพร้อมของคนในครอบครัว โดยคุณเพ็ญศรีเริ่มจากการสังเกตว่า ลูกสาวเริ่มมีศักยภาพพอที่จะรับผิดชอบงานบางส่วนได้ และสามารถรักษามาตรฐานแบบเดียวกับที่เธอเรียนรู้มาตั้งแต่อยู่ในโรงงานของคุณพ่อ ไม่ว่าจะเป็นการผ่าเป็ด การหมัก หรือการรมควัน ทุกขั้นตอนต้องทำด้วยความละเอียดในระดับเดียวกับวันที่คุณเพ็ญศรีลงมือทำเอง ดังนั้น ก่อนจะปล่อยให้ลูกสาวรับผิดชอบงานแทนในแต่ละขั้นตอน เธอจึงต้องยืนประกบอยู่ข้าง ๆ เพื่อดูรายละเอียดและควบคุมคุณภาพอย่างใกล้ชิดเสมอ

คุณเกตุ ศิริลักษณ์ สิทธิโชคสมบูรณ์ ลูกสาวของคุณเพ็ญศรีเล่าถึงกระบวนการเรียนรู้ในครอบครัวว่า “แม่จะไม่ปล่อยให้ทำงานเอง ถ้ายังทำไม่ได้เหมือนแม่ ต้องทำให้ได้ก่อน”

ขณะเดียวกัน คุณเอก ปรเมศร์ สิทธิโชคสมบูรณ์ ลูกชายของคุณเพ็ญศรี ก็เข้ามารับผิดชอบงานในฝั่งการผลิตอย่างชัดเจน โดยดูแลกระบวนการผลิตในแต่ละวัน ตั้งแต่การจัดการเตา การวางแผนรอบการอบ ไปจนถึงการควบคุมกำลังการผลิตให้สอดคล้องกับออเดอร์ที่เข้ามา

โครงสร้างการทำงานของครอบครัวจึงค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น ตั้งแต่รุ่นที่ 2 โดยคุณเพ็ญศรี เป็นผู้กำหนดมาตรฐานและควบคุมคุณภาพ ขณะที่รุ่นที่ 3 แบ่งบทบาทกันอย่างชัดเจน ฝั่งหนึ่งดูแลกระบวนการผลิต และอีกฝั่งรับผิดชอบด้านการขาย การสื่อสาร และการตลาด ทำให้ธุรกิจสามารถเดินต่อได้โดยไม่กระทบกับรสชาติและเอกลักษณ์ดั้งเดิม

ลักษณะการส่งต่อของครอบครัวนี้จึงไม่ใช่การสอนผ่านเอกสารหรือคู่มือ หากเป็นการเรียนรู้จากการลงมือทำร่วมกันทุกวัน จนคนรุ่นใหม่ค่อย ๆ คุ้นชินกับกระบวนการและมาตรฐานที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน

เมื่อรุ่นลูกเข้ามามีบทบาทมากขึ้น สิ่งที่คุณเกตุนำมาเสริมธุรกิจคือระบบใหม่ที่ช่วยให้แบรนด์ก้าวทันผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ทั้งการขยายช่องทางการขายไปสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ และการจัดการขนส่งด้วยระบบห้องเย็น เปลี่ยนจากการจัดส่งที่คุณเพ็ญศรีต้องขับรถไปส่งเองทุกครั้ง มาเป็นการจัดส่งที่มีโครงสร้างและเป็นระบบมากขึ้น

นอกจากนี้ ทางร้านยังแยกระบบอุณหภูมิในการจัดเก็บสินค้าอย่างชัดเจน โดยสินค้าที่พร้อมจำหน่ายหน้าร้านจะจัดเก็บในตู้เย็นเพื่อคงคุณภาพและความสด ขณะที่สินค้าที่เก็บเป็นสต๊อกหรือรอการขนส่งจะจัดเก็บในห้องเย็นอุณหภูมิประมาณ -20 องศาเซลเซียส เพื่อลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ

ที่สำคัญ คุณเกตุยังให้ความสำคัญกับการสื่อสารกับลูกค้าเกี่ยวกับสินค้าแช่แข็ง ทั้งวิธีการจัดเก็บ วิธีการอุ่น และอายุของสินค้า เพราะเข้าใจดีว่าผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยยังมีภาพจำว่าอาหารแช่แข็งไม่สด ทั้งที่สินค้าของร้านผ่านการซีลและควบคุมอุณหภูมิตามระบบที่เข้มงวด

คุณเกตุอธิบายอย่างตรงไปตรงมาว่า “ต้องสื่อสารกับลูกค้าเยอะ ๆ ว่ามันสะอาด ปลอดภัย และเก็บได้จริง”

ช่องทางออนไลน์จึงกลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองเจเนอเรชัน ให้สามารถสร้างช่องทางการขายใหม่สำหรับสินค้าที่คงไว้ซึ่งมาตรฐานการผลิตและสูตรดั้งเดิมที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้แบรนด์เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น และไม่ต้องพึ่งพาลูกค้าหน้าร้านเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป บทบาทที่แตกต่างแต่เกื้อหนุนกันนี้เองที่กลายเป็นรากฐานสำคัญ ทำให้ธุรกิจครอบครัวเล็ก ๆ แห่งนี้แข็งแรงและพร้อมก้าวต่อไปในอนาคต


“ทำงานต้องไม่มักง่าย ทุกอย่างต้องดูด้วยตาและรับผิดชอบด้วยมือของเรา”


ประโยคนี้ของคุณเพ็ญศรีสะท้อนวิธีคิดและหลักการทำงานของร้านเจ๊หมวยเป็ดอบชานอ้อยได้อย่างชัดเจน เพราะนี่คือศรัทธาในการทำงานที่ไม่เปลี่ยนไปตามเวลา เครื่องจักรอาจช่วยได้หลายอย่างก็จริง แต่ความรับผิดชอบต่อคุณภาพก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องส่งต่อจากคนสู่คนเท่านั้น

แม้ธุรกิจจะเดินได้อย่างมั่นคงมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว แต่คุณเพ็ญศรีและคุณเกตุไม่ได้มองว่าจะให้ร้านหยุดพัฒนาเพียงเท่านี้ พวกเขายังมองเห็นโอกาสและจำเป็นต้องเลือกทิศทางที่จะไม่ทำให้รสชาติดั้งเดิมของเป็ดอบชานอ้อยหายไป

สิ่งแรกที่ครอบครัววางแผน คือการขยายกำลังการผลิตในอนาคต หากมีแรงงานที่สามารถเรียนรู้กระบวนการอบได้ตามมาตรฐานของครอบครัว เพราะขั้นตอนนี้ยังไม่สามารถใช้เครื่องจักรแทนได้

อีกมุมหนึ่งคือช่องทางการขาย ร้านสนใจการออกบูทและอีเวนต์ ซึ่งเหมาะกับสินค้าที่ผลิตสด ควบคุมคุณภาพได้ และมีวัตถุดิบในสต๊อกตามระบบที่จัดการไว้ นอกจากนี้ การมีสินค้าซีลพร้อมขาย รวมถึงระบบแช่แข็ง -20 องศาเซลเซียส ทำให้สามารถขนส่งไปงานต่างพื้นที่ได้อย่างมั่นใจ

ส่วนเทคโนโลยี ครอบครัวมองเห็นว่า หากจะเพิ่มประสิทธิภาพ ควรเริ่มจากขั้นตอนการอบรอบแรก เพราะเป็นส่วนที่สามารถใช้เครื่องทุ่นแรงได้มากที่สุด ขณะที่ขั้นตอนการอบควันด้วยชานอ้อยยังต้องอาศัยความรู้เชิงประสบการณ์สูง ซึ่งปัจจุบันรุ่นที่ 3 สามารถรับผิดชอบและควบคุมคุณภาพในขั้นตอนนี้ได้ในมาตรฐานเดียวกับที่คุณเพ็ญศรีเคยทำ เช่นเดียวกับวันที่คุณพ่อของคุณเพ็ญศรีเคยปล่อยมือ เมื่อเห็นว่าเธอทำได้ไม่ต่างจากที่พ่อเคยทำ

อย่างไรก็ดี คุณเพ็ญศรียังคงมีบทบาทในการร่วมดูแล ให้คำแนะนำ และตรวจสอบคุณภาพอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มาตรฐานที่สั่งสมมาอย่างยาวนานยังคงถ่ายทอดต่อไปอย่างครบถ้วน

ทั้งหมดนี้สะท้อนภาพธุรกิจที่พร้อมเติบโต แต่เติบโตอย่างระมัดระวัง ไม่ยอมให้นวัตกรรมมาทำลายคุณภาพที่ครอบครัวสร้างมาอย่างยาวนาน ฉะนั้น ในวันที่หลายธุรกิจเร่งโตด้วยเครื่องจักรและความสะดวก เจ๊หมวยเป็ดอบชานอ้อยกลับพิสูจน์ว่าความมั่นคงอาจไม่ได้เกิดจากความเร็วเสมอไป แต่เกิดจากความถูกต้องของกรรมวิธี และความตั้งใจที่ไม่เปลี่ยนมาตลอดระยะเวลาการทำธุรกิจ เหมือนอย่าง 50 กว่าปีที่ผ่านมาของเจ๊หมวยเป็ดอบชานอ้อยนั่นเอง


Bangkok Bank SMEเราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ
สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพคลิกหรือสายด่วน1333


Related Article

“เจ๊หมวยเป็ดอบชานอ้อย” กับรสชาติที่คงเดิมตลอดครึ่งศตวรรษ ด้วยมาตรฐานแบบ SME มืออาชีพ

“เจ๊หมวยเป็ดอบชานอ้อย” กับรสชาติที่คงเดิมตลอดครึ่งศตวรรษ ด้วยมาตรฐานแบบ SME มืออาชีพ

เมื่อพูดถึงธุรกิจอาหารที่ยืนระยะข้ามรุ่น สิ่งที่ทำให้หลายแบรนด์อยู่ได้ยาวไม่ใช่แค่รสชาติอันโอชา แต่คือระบบคิดแบบครอบครัวที่ดำเนินธุรกิจด้วยความมีวินัย…
pin
1 | 29/12/2025
นวัตกรรมดีท็อกซ์ที่ SME ไทยสร้าง สู่โมเดล Wellness ที่เปลี่ยนชีวิตผู้คนได้จริง

นวัตกรรมดีท็อกซ์ที่ SME ไทยสร้าง สู่โมเดล Wellness ที่เปลี่ยนชีวิตผู้คนได้จริง

หากจะพูดถึงเบื้องหลังความสำเร็จของ “บริษัท นิว ลีฟ ดีท็อกซ์ รีสอร์ท จำกัด” ก็ต้องบอกว่าไม่ได้มีเคล็ดลับใด ๆ เป็นพิเศษ นอกจากความเชื่อของผู้ก่อตั้งอย่าง…
pin
1 | 28/12/2025
“คิง เฟรช ฟาร์ม” โมเดลเกษตรยุคใหม่ พาเกษตรไทยก้าวไกลตลาดโลก

“คิง เฟรช ฟาร์ม” โมเดลเกษตรยุคใหม่ พาเกษตรไทยก้าวไกลตลาดโลก

ในช่วงที่หลายอุตสาหกรรมต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงจากเทคโนโลยี ผู้ประกอบการจำนวนมากเริ่มมองหาทางเลือกใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ…
pin
2 | 27/12/2025
“เจ๊หมวยเป็ดอบชานอ้อย” กับรสชาติที่คงเดิมตลอดครึ่งศตวรรษ ด้วยมาตรฐานแบบ SME มืออาชีพ