ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่ม ที่เป็นมากกว่าโรงแรม มาแล้ว…และอยากกลับมาอีก
ท่ามกลางกระแสท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและเชิงประสบการณ์ (Wellness & Experience Economy) ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง “ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่ม” คือหนึ่งในตัวอย่างธุรกิจไทยที่นำความชอบส่วนตัวมาพัฒนาเป็นจุดเด่นที่ตลาดต้องการ ที่นี่ไม่ใช่แค่ออนเซ็นบนดอยสูงกว่า 1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเลเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างประสบการณ์แบบญี่ปุ่นแท้ โดยผสานเข้ากับธรรมชาติของเชียงใหม่อย่างพอดีที่สุด ด้วยความที่อากาศเย็น ลมดี และมีหมอกแทบทั้งปี ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่มจึงทำให้ประสบการณ์การแช่ออนเซ็น ซึ่งหลายคนคุ้นเคยแต่เฉพาะในญี่ปุ่น กลายเป็นสิ่งใหม่ที่ “ใช่” สำหรับคนไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ

จุดกำเนิดธุรกิจ จากความชอบส่วนตัวสู่โรงแรมที่มีรายละเอียดครบถ้วนสมบูรณ์
ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่ม เกิดจากความตั้งใจเล็ก ๆ ของคุณวิสาขา ภูมิรัตน และพาร์ตเนอร์ คุณจักริน บันทัดทอง ซึ่งเคยทำงานร่วมกันในสำนักงานกฎหมาย Baker & McKenzie ทั้งคู่มองหาสถานที่ที่มีอากาศเย็นสบายในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อซื้อที่ดินและสร้างบ้านพักให้อยู่ใกล้กัน ก่อนที่แนวคิดดังกล่าวจะค่อย ๆ พัฒนาไปสู่การทำโรงแรมบนดอยม่อนแจ่มในเวลาต่อมา
ก่อนจะพบว่าความชอบส่วนตัวของพวกเขากำลังพาไปสู่เส้นทางใหม่ของการทำโรงแรมบนดอยม่อนแจ่ม
“เดิมตั้งใจสร้างเป็นบ้านพักในพื้นที่อากาศเย็น เพื่อใช้เป็นที่พักผ่อนและอยู่อาศัยเป็นหลัก ก่อนจะมองเห็นโอกาสในการพัฒนาเป็นโฮมสเตย์ขนาดเล็กในระยะถัดมา” คุณวิสาขากล่าวถึงความคิดแรกว่าเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อทั้งคู่เริ่มมองหาสถาปนิก องค์ประกอบของธุรกิจจริง ๆ ก็เริ่มชัดเจนขึ้น เพราะแม้จะเป็นโครงการขนาดเล็กมาก แต่พวกเขาก็ได้สถาปนิกชื่อดังจาก Habita Architects ซึ่งเป็นญาติของคุณจักรินมาร่วมออกแบบด้วย จึงนับเป็นความโชคดีที่เปลี่ยนทิศทางของโรงแรมแห่งนี้ไปอย่างสิ้นเชิง
คุณวิสาขาเล่าว่า “ตอนแรกสถาปนิกก็ออกแบบมาให้เป็นบ้านทรงไทยล้านนา แต่เรามองว่าในเชียงใหม่มีบ้านทรงนี้เยอะแล้ว ประกอบกับช่วงก่อนหน้านี้ไปเที่ยวญี่ปุ่นมา แล้วรู้สึกชอบออนเซ็น เลยคิดว่าทำเป็นออนเซ็นดีกว่า”
ความชอบส่วนตัวนี้เองที่พาไปสู่การเปลี่ยนคอนเซปต์จากบ้านพักธรรมดาสู่ออนเซ็นบนดอย แนวคิดใหม่ที่แม้แต่สถาปนิกยังแปลกใจว่า ทำไมต้องทำออนเซ็นในเมืองไทยที่อากาศร้อนมากพออยู่แล้ว จนกระทั่งคุณวิสาขาชวนให้ไปพักค้างคืนบนดอยโป่งแยง ท่ามกลางฝน หมอก และอากาศเย็น ๆ ในตอนเช้า ที่นั่นเองสถาปนิกจึงได้เห็นธรรมชาติที่เหมาะกับการแช่น้ำร้อนอย่างไม่น่าเชื่อ
“ตอนแรกเขาก็ไม่ยอมทำให้ บอกว่าจะมาทำออนเซ็นอะไรในเมืองไทย ร้อนจะตาย แต่หลังจากได้ค้างคืนบนดอยโป่งแยง ตื่นเช้ามาเขาก็เห็นทันทีว่ามันทำได้”
นับจากวันนั้น โปรเจ็กต์นี้ก็ไม่ใช่แค่บ้านพักบนเขาธรรมดา ๆ อีกต่อไป แต่เป็นโรงแรมที่ตั้งใจสร้างประสบการณ์แบบญี่ปุ่นแท้ ๆ ขึ้นบนดอยม่อนแจ่ม
อีกหนึ่งรายละเอียดสำคัญที่กลายเป็นรากฐานสำคัญของแบรนด์ คือบุคลิกที่แตกต่างกันของผู้ก่อตั้งทั้งสองคน ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดสองบรรยากาศในโรงแรม คุณจักรินจะชอบความหรูหราแบบโชกุน ส่วนคุณวิสาขาจะชอบแบบเรียวกัง อบอุ่น เรียบง่าย และใกล้ชิดธรรมชาติและชุมชน สถาปนิกจึงออกแบบพื้นที่ให้ประกอบด้วยทั้งสองสไตล์ให้เบลนด์เข้าด้วยกันอย่างงดงาม กลายเป็นประสบการณ์ที่แขกสามารถกลับมาซ้ำและลองพักอีกฝั่งหนึ่งได้โดยไม่รู้สึกจำเจ

จุดแข็งของแบรนด์ ด้วยออนเซ็นแท้เหมือนบินไปแช่ที่ญี่ปุ่น
สิ่งที่ทำให้ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่ม โดดเด่นขึ้นมา คือความใส่ใจและความจริงจังในทุกขั้นตอนของการทำออนเซ็นแบบญี่ปุ่นแท้ ๆ โดยแรงบันดาลใจสำคัญเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ทีมผู้ก่อตั้งสำรวจพื้นที่และพบว่าแหล่งน้ำบนที่ดินเป็นสายน้ำแร่เดียวกับที่ใช้ผลิตน้ำดื่มคุณภาพ ทำให้พวกเขาเห็นศักยภาพของพื้นที่ทันที เมื่อผสานกับความชื่นชอบออนเซ็นของคุณวิสาขา ไอเดียการสร้างออนเซ็นบนม่อนแจ่มจึงเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
จากนั้นทุกกระบวนการจึงถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน ตั้งแต่คุณภาพน้ำแร่ อุณหภูมิ ระบบทำความสะอาด ไปจนถึงวิธีลงแช่ที่ยึดตามวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างเคร่งครัด
ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่ม ใช้น้ำแร่บริสุทธิ์ที่ไม่มีกลิ่นกำมะถัน ก่อนนำมาผ่านระบบ Heat Exchange ตามมาตรฐานญี่ปุ่น เพื่อควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมต่อการแช่ ช่วยเปิดรูขุมขน กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และให้ความผ่อนคลายอย่างปลอดภัยต่อผู้ใช้ทุกกลุ่ม
นอกจากเรื่องคุณภาพของน้ำแล้ว วัฒนธรรมออนเซ็นแบบญี่ปุ่นแท้ยังมีเรื่องกฎด้านความสะอาดที่เข้มงวด ซึ่งทีมงานที่นี่ก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด คือ บ่อแยกชาย-หญิง และห้ามใส่ชุดว่ายน้ำเด็ดขาด เพราะอาจทำลายความสะอาดของน้ำแร่ได้
“หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าเป็นเหตุผลเรื่องความโป๊ แต่จริง ๆ ไม่ใช่ มันคือเรื่องของความสะอาดของออนเซ็น ที่เราจะต้องอาบน้ำ สระผมให้สะอาดก่อนลง” คุณวิสาขาอธิบาย
ส่วนผู้ที่ไม่สะดวกใช้บ่อแยกชาย–หญิงก็ไม่ต้องกังวล เพราะที่นี่มีบ่อเอาต์ดอร์แบบรวมซึ่งสามารถใส่ชุดว่ายน้ำปกติได้อย่างสบายใจ ขณะที่บ่อออนเซ็นแบบญี่ปุ่นแท้ในอาคาร หากไม่สะดวกเปลือยสามารถเลือกใช้ชุดอาบน้ำแบบ 2 ชิ้นที่โรงแรมเตรียมไว้ให้แบบใช้แล้วทิ้ง เพื่อลดการปนเปื้อนและยังคงมาตรฐานความสะอาดของน้ำแร่ไว้ครบถ้วน
เบื้องลึกของการดูแลบ่อออนเซ็นจึงไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงามหรือวัฒนธรรมอย่างเดียว แต่เป็นการควบคุมความสะอาดระดับสูงที่ต้องทำทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนน้ำหรือการตรวจสอบอุณหภูมิ เพราะคุณวิสาขาถือว่า “ความสะอาดเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด”
การบริการให้คำแนะนำแก่ลูกค้า คืออีกหนึ่งดีเทลที่ทำให้ประสบการณ์ที่นี่ใกล้เคียงญี่ปุ่นมากที่สุด โดยทีมงานจะสอนวิธีลงแช่อุณหภูมิที่เหมาะสม เวลาในการแช่ และข้อควรระวังอย่างครบถ้วน ทำให้ลูกค้าใช้ออนเซ็นได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
ในส่วนของอาหาร ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของประสบการณ์แบบญี่ปุ่น ทางโรงแรมยังลงทุนด้วยการเชิญเซนเซ จากสถาบันสอนการทำอาหาร Tsuji Culinary Institute มาสอนทีมงานต่อเนื่องเป็นเวลา 7 เดือนเต็ม ทั้งการแล่เนื้อปลา การใช้วัตถุดิบทุกส่วน ไปจนถึงมารยาทและวัฒนธรรมของครัวญี่ปุ่น ส่งผลให้ร้านอาหารของที่นี่กลายเป็นหนึ่งในจุดเช็กอินที่ลูกค้าชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในเชียงใหม่หลายคนกลับมารับประทานเป็นประจำแม้ไม่ได้มาพัก เพราะรสชาติและคุณภาพใกล้เคียงต้นตำรับมากที่สุดแห่งหนึ่งในพื้นที่
ทั้งหมดนี้ทำให้ประสบการณ์ที่ได้จากออนเซ็น แอท ม่อนแจ่มไม่ใช่ออนเซ็นจำลอง แต่เป็นออนเซ็นที่มีมาตรฐานชัดเจน ไม่ต่างจากการบินไปญี่ปุ่นจริง ๆ

ระบบการบริการและทีมงานที่แข็งแรง คือรากฐานของความสำเร็จ
แม้ภาพจำของออนเซ็น แอท ม่อนแจ่มจะเป็นออนเซ็นท่ามกลางทิวเขา แต่เบื้องหลังของธุรกิจนี้ไม่ได้ยืนอยู่บนเสน่ห์ของธรรมชาติหรือสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นเท่านั้น เพราะยังมี “ระบบบริหารจัดการ” ที่ได้รับการวางรากฐานไว้อย่างแข็งแรงตั้งแต่วันแรก
ทันทีที่โรงแรมเปิด คุณวิสาขาและคุณจักรินตั้งใจว่าจะเลือกใช้บริการจากบริษัท Hospitality Management มืออาชีพเข้ามาช่วยวางระบบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบริการ การจัดการครัว มาตรฐานการทำงาน และการสรรหาบุคลากรที่เหมาะสม เพราะเชื่อว่าเป็นการลงทุนกับโครงสร้างก่อนที่ธุรกิจจะเติบโต ช่วยลดความเสี่ยงในระยะยาว และทำให้ทีมงานรุ่นถัดไปทำงานได้อย่างมีมาตรฐาน
หลังจากระบบเริ่มเข้าที่ สัญญากับบริษัทฯ ก็สิ้นสุดลงพอดี ทีมงานภายในที่เติบโตจากระบบเดิมจึงรับช่วงต่อด้วยความมั่นใจ และเริ่มสร้าง “วัฒนธรรมการบริการแบบม่อนแจ่ม” ของตัวเอง หนึ่งในนั้นคือระบบดูแลลูกค้าแบบ Personalized ที่ทำผ่านระบบ CRM ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโรงแรมสากล ทุกครั้งที่ลูกค้าทำการจอง ระบบจะแสดงข้อมูลทั้งหมด เช่น เคยมากี่ครั้ง ชอบอะไร ไม่รับประทานอะไร หรือมีสิ่งใดที่ต้องระวังเป็นพิเศษ แม้แต่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการ์ดทำมือที่ลูกค้าเขียนฝากไว้ ก็ถูกบันทึกเป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลบริการ เพราะทีมงานอยากจำความชอบและความประทับใจของลูกค้าแต่ละคนให้ได้มากที่สุด
“ตอนนี้เราบริหารโรงแรมเองทั้งหมด และเป็นจังหวะที่ดีที่ได้ผู้จัดการที่มีประสบการณ์เข้ามาช่วยดูแล ขณะที่ผู้ช่วยอีกคนก็ดูแลลูกค้าได้อย่างยอดเยี่ยม” คุณวิสาขากล่าว
อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้แบรนด์เติบโตท่ามกลางการแข่งขันสูง คือระบบ Loyalty ซึ่งเติบโตจากสัดส่วนลูกค้าที่กลับมาใช้บริการอีกครั้ง เมื่อระบบ CRM เก็บข้อมูลครบ ทีมงานจะสามารถกำหนดระดับสมาชิกได้ อาทิ Emperor Class สำหรับผู้ที่เคยมาพักเกิน 11 คืนขึ้นไป พร้อมสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม เช่น ส่วนลดหรือของขวัญต้อนรับ สอดคล้องกับกลยุทธ์ Hospitality ยุคใหม่ที่เน้น Lifetime Value มากกว่าการหาลูกค้าใหม่ ซึ่งออนเซ็น แอท ม่อนแจ่มทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยบริการที่ใส่ใจและมีระบบรองรับที่ดี

การสร้างมาตรฐาน Green & Sustainable Hotel
ความแข็งแรงด้านความยั่งยืน คือองค์ประกอบที่ช่วยให้ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่ม สร้างความแตกต่างได้อย่างมีคุณค่า ทั้งต่อลูกค้า ธุรกิจ และสิ่งแวดล้อม โดยให้ความสำคัญกับการลดขยะ การประหยัดพลังงาน และการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
“เราไม่ใช้อะไรที่เป็นพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งเลย มาที่นี่คุณจะเจอแต่อุปกรณ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิเช่น ไม้ หรือ แก้ว”
การลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ แต่ส่งผลต่อภาพรวมของโรงแรมอย่างมาก ทั้งช่วยลดปริมาณขยะ และทำให้ผู้เข้าพักเห็นว่าโรงแรมให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมจริง
นอกจากนี้ ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่มยังให้ความสำคัญกับการแยกขยะ โดยเฉพาะขยะอาหาร ซึ่งจะถูกส่งต่อให้ฟาร์มในพื้นที่เพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์ ช่วยลดภาระสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนระบบเกษตรท้องถิ่นไปพร้อมกัน
ส่วนด้านวัตถุดิบอาหาร ทางโรงแรมก็พยายามใช้ของท้องถิ่นให้ได้มากที่สุด เพื่อลดการขนส่งและลด Carbon Footprint สอดคล้องกับแนวคิดการท่องเที่ยวเชิงยั่งยืนยุคใหม่ ที่เน้นการสร้างประโยชน์ให้ชุมชนโดยรอบควบคู่ไปด้วย
ในฝั่งของพลังงาน โรงแรมต้องเผชิญกับความจริงที่ว่าระบบออนเซ็นใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าจำนวนมาก ตั้งแต่เครื่องทำน้ำร้อน ระบบ Heat Exchange ไปจนถึงอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิในทุกฤดูกาล ดังนั้น เพื่อควบคุมต้นทุนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทางโรงแรมจึงใช้มาตรการหลายอย่าง เช่น
ใช้หลอด LED ทั้งหมด
ตั้งอุณหภูมิตามสภาพอากาศ
ควบคุมเวลาการเปิด–ปิดระบบ
จัดแผนใช้พลังงานตามจำนวนลูกค้าแต่ละช่วง เพื่อไม่ให้ระบบไม่ทำงานหนักเกินจำเป็น อาทิ ลดการเดินเครื่องทำน้ำร้อนช่วงโลว์ซีซัน
แม้จะยังไม่สามารถติดตั้งโซลาร์เซลล์ได้อย่างเต็มระบบ เนื่องจากพื้นที่มีหมอกเป็นส่วนใหญ่ แต่คุณวิสาขาก็ยังคงวางแผนระยะยาวเพื่อผสานพลังงานสะอาดในอนาคต ผลที่ได้ไม่ใช่แค่ประหยัดค่าไฟ แต่เป็นการบริหารทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ธุรกิจสามารถคงคุณภาพการให้บริการได้โดยไม่สูญเสียความยั่งยืน
แนวปฏิบัติด้านความยั่งยืนทั้งหมดนี้นำไปสู่การได้รับรางวัล Green Hotel และ STGs STAR ซึ่งตอกย้ำว่าความตั้งใจของทีมงานเป็นมาตรฐานการทำงานที่เกิดขึ้นจริงในทุกวัน

การต่อยอดธุรกิจ พัฒนาประสบการณ์โดยไม่ทิ้งความเป็น “ญี่ปุ่นในไทย”
การเติบโตของออนเซ็น แอท ม่อนแจ่ม เกิดจากการ “เพิ่มประสบการณ์” ให้แก่ลูกค้าอย่างครอบคลุม ในแบบที่สอดคล้องกับความเป็นญี่ปุ่น และไม่ทำให้เสน่ห์เดิมของโรงแรมถูกกลบหายไป แนวทางการต่อยอดของผู้บริหารจึงเป็นไปในลักษณะ “ค่อย ๆ เติม แต่เติมให้ถูกจุด” เพราะอย่างที่คุณวิสาขาย้ำไว้เสมอว่า สิ่งสำคัญคือการทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนอยู่ในญี่ปุ่นจริง ๆ
ออกแบบกิจกรรมสำหรับทุกวัย ตอบโจทย์การท่องเที่ยวแบบครอบครัว
หลังโควิด-19 กลุ่มลูกค้าของโรงแรมเปลี่ยนจากคู่รักหรือกลุ่มเพื่อน มาเป็นครอบครัวหลายช่วงวัยมากขึ้น ทำให้เด็ก ๆ กลายเป็นผู้ใช้บริการที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้ปกครองลงแช่ออนเซ็น คุณวิสาขาจึงออกแบบกิจกรรมสร้างสรรค์สำหรับเด็ก เช่น การวาดรูป พับกระดาษ หรือเวิร์กช็อปเล็ก ๆ เพื่อให้เด็กมีพื้นที่ของตัวเอง และช่วยให้ครอบครัวทุกคนเพลิดเพลินไปพร้อมกันได้อย่างสบายใจ
เพิ่มบริการ สปา ที่ครอบคลุมถึง นวดหน้า ขัวผิว นวดไทย นวดประคบ นวดหินร้อน เพื่อเติมเต็ม Wellness Experience
หลังจากออนเซ็นกลายเป็นบริการเด่น โรงแรมจึงเริ่มพัฒนาบริการด้านสุขภาพให้หลากหลายขึ้น เริ่มจากนวดไทยซึ่งเป็นจุดแข็งของวัฒนธรรมท้องถิ่น และต่อยอดด้วยนวดประคบร้อนด้วยสมุนไพรม้ง ที่มีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัว ในปีหน้า 2569 จะมีการเพิ่มนวดญี่ปุ่น ชิอัตสึ (Shiatsu Massage) เพื่อให้สอดคล้องกับธีมหลักของโรงแรม การเพิ่มบริการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยสร้างรายได้เพิ่มเติม แต่ยังทำให้ลูกค้าใช้เวลาในพื้นที่ได้นานขึ้น ส่งผลให้ประสบการณ์โดยรวมครบขึ้นและมีความเป็น Wellness Resort ที่สมบูรณ์กว่าเดิม
เพิ่มพื้นที่สวนญี่ปุ่น เพื่อสร้างบรรยากาศที่มีชีวิตชีวา
ธรรมชาติและสวนเป็นองค์ประกอบสำคัญของประสบการณ์แบบญี่ปุ่น ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่มจึงค่อย ๆ พัฒนาพื้นที่กลางแจ้งให้เป็นสวนญี่ปุ่นขนาดใหญ่ มีทั้งเป็ด หงส์ กระต่าย และบ่อปลา เพื่อให้ลูกค้าได้เดินเล่นและสูดอากาศอย่างเพลิดเพลิน บางครั้งลูกค้ายังเอ็นดูสัตว์มากจนขอลูกกระต่ายกลับไปเลี้ยงด้วย ซึ่งคุณวิสาขากล่าวว่า “เราก็ให้ไปนะคะ เพราะอยากให้เขามีความสุขที่สุด” เรื่องเล็ก ๆ เหล่านี้จึงกลายเป็นเสน่ห์ที่เชื่อมความสุขของทุกวัยได้อย่างเป็นธรรมชาติ
รองรับงานแต่งงานและอีเวนต์ขนาดเล็ก
เมื่อได้รับความนิยมมากขึ้น โรงแรมจึงเริ่มได้รับคำขอจากคู่รักและองค์กรให้จัดงานขนาดเล็ก เช่น งานแต่งงาน หรือทริปบริษัท ทีมผู้บริหารจึงตัดสินใจสร้างสนามและพื้นที่กิจกรรมเพื่อรองรับแขกสูงสุดประมาณ 100 คน
ดึงเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นเข้ามาลึกขึ้น เช่น พิธีชงชา
ต่อให้จะขยายบริการและกิจกรรมมากขึ้นแค่ไหน แต่คุณวิสาขาก็ยังย้ำว่าแกนหลักของแบรนด์คือต้องคงความเป็นญี่ปุ่นให้ชัดเจน จึงวางแผนเพิ่มกิจกรรมอื่น ๆ อย่างพิธีชงชา (Tea Ceremony) หรือ การจัดดอกไม้ (Ikebana) ซึ่งถือเป็นการยกระดับประสบการณ์ในเชิงวัฒนธรรม
ขยายไลน์อาหารเพื่อตอบโจทย์ความชอบของคนหลากหลายกลุ่ม
แม้อาหารญี่ปุ่นยังคงเป็นจุดขาย แต่ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่มก็เริ่มเสริมเมนูที่ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่มากขึ้น เช่น ราเมง บะหมี่ เกี๊ยวซ่า ไปจนถึงพิซซ่า ซึ่งคุณวิสาขาเล่าว่าเด็ก ๆ ชื่นชอบมาก เรียกได้ว่าเป็นการปรับสมดุลระหว่างความเป็นญี่ปุ่นและความเป็นโรงแรมสำหรับครอบครัวโดยไม่ทิ้งแกนหลักของแบรนด์
สนใจตลาดต่างชาติ แต่ยังยึดลูกค้าคนไทยเป็นหลัก
ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่มพยายามทำการตลาดต่างชาติ โดยเฉพาะลูกค้าที่ชื่นชอบญี่ปุ่น แต่ต้องยอมรับว่าการดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติให้มาพักใน “ญี่ปุ่นในไทย” ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะนักท่องเที่ยวที่มาเชียงใหม่ก็ต้องอยากดูวัฒนธรรมไทย ไม่ใช่วัฒนธรรมญี่ปุ่น ในทางกลับกัน กลุ่มลูกค้าญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในเชียงใหม่กลับตอบรับว่าร้านอาหารของโรงแรมดีมาก นี่จึงเป็นตัวอย่างกลยุทธ์การหาตลาดที่ใช่แทนการพยายามดึงทุกกลุ่ม
“การทำธุรกิจโรงแรมจะประสบความสำเร็จได้ คุณต้องหาจุดเด่นของตัวเองให้เจอก่อน”
ในมุมของคุณวิสาขา ความสำเร็จของธุรกิจเกิดจากหลักคิดที่ชัดเจนและสม่ำเสมอมากกว่าสิ่งใด เธอเชื่อว่าธุรกิจจะยืนได้ยาว ต้องมีเอกลักษณ์ที่แข็งแรงพอ ให้ลูกค้ารู้สึกได้ทันทีว่าที่นี่มีสิ่งที่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่น และต้องเป็นจุดเด่นที่เกิดขึ้นจริงในทุกวัน ไม่ใช่เพียงภาพลักษณ์ที่สร้างขึ้นเพื่อการตลาด
แนวคิดนี้ทำให้ทุกการตัดสินใจพัฒนาโรงแรมรักษาแก่นของความเป็นญี่ปุ่นเอาไว้เสมอ ตั้งแต่บรรยากาศ อาหาร ไปจนถึงประสบการณ์ออนเซ็น เพราะทีมผู้บริหารมองว่าแบรนด์ที่ดีต้องมีทิศทางที่ชัด และไม่หลงทางไปกับความต้องการชั่วครั้งชั่วคราวของตลาด การเติบโตจึงต้องค่อยเป็นค่อยไป แต่ต้อง “ตรง” กับตัวตนของธุรกิจ
ท้ายที่สุด คุณวิสาขามองว่าการพัฒนาเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพราะธุรกิจที่หยุดอยู่กับที่คือธุรกิจที่เริ่มถอยหลังทันที เมื่อโรงแรมเปิดมาหลายปี เธอเลือกที่จะอัปเกรด ปรับปรุง และเพิ่มประสบการณ์ใหม่ ๆ เพื่อให้ที่นี่ไม่ใช่แค่สถานที่ที่ลูกค้า “เคยมาพัก” แต่เป็นสถานที่ที่ลูกค้า “อยากกลับมาอีก” อยู่เสมอ
ดังนั้น ความแข็งแรงของแบรนด์จึงเกิดจากการโฟกัสในสิ่งที่ทำได้ดีที่สุด พร้อมพัฒนาและต่อยอดอย่างสม่ำเสมอ จนกลายเป็นประสบการณ์ที่ลูกค้าอยากกลับมาอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า
ช่องทางติดต่อ ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่ม
สำหรับผู้ที่สนใจเข้าพักหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
เว็บไซต์: www.onsenmoncham.com
โทรศัพท์: 053-111-606
LINE ID: @Onsenmoncham
Facebook Inbox: http://m.me/OnsenAtMoncham

