“พรีเมี่ยม อิควิปเม้นท์” 30 ปีแห่งการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป ภายใต้หลัก “รู้จักตัด รู้จักเลือก”
ในโลกของธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักร และระบบอุตสาหกรรมถือเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง “บริษัท พรีเมี่ยม อิควิปเม้นท์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด” ภายใต้การนำของ “คุณธานี ชวาลรัตน์” คือตัวอย่างที่ชัดเจนขององค์กรที่สามารถก้าวข้ามผ่านทุกอุปสรรคและความท้าทาย โดยสามารถปรับตัวได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่มีทีมงานเพียง 16-17 คน สู่การเป็นหนึ่งในผู้นำของอุตสาหกรรมในประเทศไทย
อย่างไรก็ดี ความสำเร็จของบริษัทไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ทว่าเป็นผลลัพธ์ของการตัดสินใจที่เฉียบคม การบริหารจัดการที่มีวิสัยทัศน์ ตลอดจนการปรับตัวที่รวดเร็วต่อความเปลี่ยนแปลงของตลาดและความไม่แน่นอนของโลก ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากภายในหรือภายนอก ตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจ ความผันผวนทางการเมือง ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ทุกเหตุการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้บริษัทแข็งแกร่งขึ้นในทุก ๆ วัน
พลิกวิกฤตให้เป็นบทเรียน ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เป็น “ผู้อยู่รอด”
พรีเมี่ยม อิควิปเม้นท์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2537 ด้วยเป้าหมายที่จะนำเสนอเทคโนโลยีอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพสูงให้กับตลาดไทย ซึ่งปัจจุบัน บริษัทได้เติบโตจนกลายเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านระบบลมอัด (Compressed Air System) และระบบอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อกระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท
ปัจจุบัน บริษัทมีวิศวกร ช่างเทคนิค ผู้ชำนาญการเฉพาะทาง ซึ่งได้รับการฝึกอบรมเป็นอย่างดี และมีพนักงานรวมกันเกือบ 400 คน มีศูนย์บริการ 15 ศูนย์ ครอบคลุมอยู่ทั่วประเทศ อีกทั้งยังมีโครงการขยายศูนย์ออกไปอีกหลายแห่ง เพื่อให้บริการลูกค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ดีขึ้น และมากขึ้นกว่าปัจจุบัน
แต่กว่าจะมีวันนี้ เส้นทางของ พรีเมี่ยม อิควิปเม้นท์ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะบริษัทต้องเผชิญกับความท้าทายหลายครั้ง ตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540 ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างรุนแรง จากอัตราแลกเปลี่ยนเดิมที่ 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ กลับพุ่งไปสูงถึง 56 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ภายในเวลาไม่กี่เดือน (อ้างอิง: Amarin TV) ความผันผวนนี้ทำให้บริษัทที่ต้องนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และทำให้หนี้สินของบริษัทเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ แล้วยังไม่รวมถึงวิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ในปี 2551 ที่สั่นสะเทือนเศรษฐกิจทั่วโลก ตลอดจนการระบาดของโควิด-19 ในปี 2563 ที่ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและการดำเนินธุรกิจของทุกอุตสาหกรรม
“ในทุก ๆ วิกฤต เรามองว่าเป็นโอกาสในการพัฒนาองค์กร โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวและตลาดไม่เติบโต เราได้มุ่งเน้นการปรับปรุงภายใน ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการทำงาน หรือการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญกับการพัฒนากลยุทธ์ผลิตภัณฑ์และการขยายตลาดเพื่อชดเชยส่วนแบ่งตลาดเดิม รวมถึงมีการสื่อสารกับธนาคารอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรายงานสถานะและแนวทางการดำเนินธุรกิจของเรา”
อย่างไรก็ตาม พรีเมี่ยม อิควิปเม้นท์ ยืนหยัดที่จะต่อสู้กับแรงกดดันเหล่านี้ บริษัทมีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว และสื่อสารกับผู้เกี่ยวข้องอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงหาแนวทางการแก้ไขปัญหา ทั้งการจัดการภายในและภายนอกบริษัท ไม่ว่าจะเป็นคู่ค้า ซัพพลายเออร์ ตลอดจนสถาบันการเงิน ทำให้บริษัทสามารถผ่านวิกฤตและเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง
ทำเยอะไม่ได้แปลว่ากำไรดี อะไรที่ “ไม่ใช่” ก็ต้องยอมตัด
ในช่วงหนึ่ง บริษัทเคยเผชิญกับปัญหาของการขยายตัวที่มากเกินไป โดยมีการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์และบริการไปหลากหลายแขนง แต่ท้ายที่สุดแล้วก็พบว่าการทำหลายอย่างไม่ได้แปลว่าจะสร้างกำไรที่ดีขึ้นเสมอไป กลับกลายเป็นว่าทำให้ทรัพยากรภายในองค์กรกระจัดกระจาย และขาดการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ
“การขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วโดยขาดการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรและระบบควบคุมที่เพียงพอก็สามารถนำไปสู่ความเสี่ยงในการบริหารจัดการได้ ถ้าจะให้ผมเปรียบเทียบ มันก็เหมือนกับการรับสร้างบ้านที่ผู้ควบคุมงานไม่มีประสิทธิภาพ แม้จะมีความรู้และทรัพยากร แต่หากขาดการกำกับดูแลที่ดี ก็อาจส่งผลต่อคุณภาพของงานได้”
บริษัทจึงนำแนวคิด “Sandbox” หรือการทดลองนวัตกรรมทางธุรกิจมาใช้ โดยให้ความสำคัญกับการตัดสินใจที่รวดเร็ว “อะไรไม่ใช่ก็ตัดออก” กลายเป็นหลักสำคัญที่ช่วยให้บริษัทกลับมาโฟกัสในสิ่งที่ทำได้ดีที่สุด “ทำมากกว่าเดิม แต่เราแค่เลือกมากขึ้นว่าจะทำอะไร” คุณธานีกล่าวเช่นนั้น โดยตัวอย่างที่ชัดเจน คือ การเลือกมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจระบบประหยัดพลังงาน ซึ่งตอบโจทย์อุตสาหกรรมที่ต้องการลดต้นทุนพลังงาน
ตัวอย่างที่ดีอีกอย่างหนึ่งคือ การบริการ ที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทให้เป็นกลยุทธ์สู่ความสำเร็จ ซึ่งได้ทำมาเป็นเวลา 30 กว่าปีจนถึงปัจจุบัน ได้เป็นที่ยอมรับของลูกค้าในการให้บริการที่ดีอย่างมืออาชีพ อย่างไรก็ดีทุกวันนี้บริษัทก็ยังต้องทำการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ทั้งทางด้านงานบริการ และบุคลากร เพื่อให้ดีขึ้นกว่าเดิม
“งานบริการในอุตสาหกรรมเป็นงานที่ต้องใช้ความรู้ และคนในการทำงาน ไม่สามารถใช้เครื่องจักรทดแทนได้ งานบริการไม่มีคำว่าดีแล้ว แต่ยังมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงให้ดีกว่าเดิมได้อยู่เสมอ”
นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีและโซลูชันเฉพาะทางที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานได้ เช่น เครื่องอัดอากาศที่ช่วยประหยัดพลังงาน ซึ่งการปรับเปลี่ยนนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้บริษัทอยู่รอด แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ พรีเมี่ยม อิควิปเม้นท์ สามารถเติบโตต่อไปในระยะยาว
เจาะลึกกลยุทธ์ที่ทำให้ พรีเมี่ยม อิควิปเม้นท์ ประสบความสำเร็จ
การมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม เพื่อสร้างความแตกต่าง
จากเดิมที่เน้นการนำเข้าเครื่องจักร และอุปกรณ์อุตสาหกรรมทั่วไป ในช่วง 20 ปีมานี้ บริษัทได้หันมาโฟกัสอุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และบริษัทได้นำเสนอสินค้าที่แตกต่างจากคู่แข่งโดยเน้นในเรื่องการประหยัดพลังงานเป็นจุดขาย ซึ่งตรงกับความต้องการของตลาดที่ต้องการลดต้นทุนพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
การพัฒนาองค์ความรู้และสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
ด้วยการศึกษาตลาดอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงค้นพบว่าการมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางช่วยให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งรายใหญ่ได้ดีขึ้น จากผู้เล่นตัวเล็ก ๆ ในอุตสาหกรรม พรีเมี่ยม อิควิปเม้นท์ กลับสามารถสร้างชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในกลุ่มลูกค้าภาคอุตสาหกรรมได้
การปรับกลยุทธ์การตลาดและขยายฐานลูกค้า
เดิมที บริษัทพึ่งพาช่องทางการขายแบบดั้งเดิม แต่เมื่อสภาพตลาดเปลี่ยนแปลงไป บริษัทเริ่มขยายไปยังตลาดใหม่ ๆ เช่น การเข้าร่วมโครงการด้านพลังงาน การทำงานร่วมกับภาครัฐ ตลอดจนการเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
การบริหารจัดการทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ
บริษัทให้ความสำคัญกับการรักษาเครดิตทางการเงินที่ดี โดยมีการบริหารจัดการภาระหนี้อย่างมีวินัย ทำให้สามารถผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้ เช่น ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ บริษัทสามารถพูดคุยกับธนาคารเพื่อหาทางออกที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นเครื่องมือขับเคลื่อน
พรีเมี่ยม อิควิปเม้นท์ ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ภายในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นระบบ IT ที่ช่วยให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สอดคล้องกับเทรนด์ของตลาด เช่น ระบบเติมอากาศในการบำบัดน้ำเสียที่ช่วยลดการใช้พลังงาน และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบอุตสาหกรรม
บริษัทได้วางพื้นฐานให้มีการใช้ IT มาช่วยงาน ตั้งแต่เริ่มดำเนินงานจนถึงปัจจุบัน บริษัทมีระบบ IT ที่ใช้งานอยู่เป็นจำนวนมาก และยังคงมีการพัฒนาเรื่อง IT อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา รวมไปถึงการมองหานวัตกรรมใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่มีมากขึ้น และสร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนจากคู่แข่ง ในสภาวะการแข่งขันของตลาดอุตสาหกรรมที่สูงขึ้น
“เราเปลี่ยนเยอะมาก เปลี่ยนแทบจะตลอดเวลา แม้กระทั่งเมื่อวานกับวันนี้
ฉะนั้น อะไรที่ทำได้ก็ทำไป ถูกก็ทำต่อ ผิดก็เลิก ที่ผมทำมาผมไม่รู้หรอกว่ามันดีหรือไม่ดี
รู้เพียงแต่ว่าที่บริษัทมีวันนี้ได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเราปรับตัวตลอดเวลา”
จากการดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 30 ปี พรีเมี่ยม อิควิปเม้นท์ เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้วว่า การอยู่รอดในตลาดอุตสาหกรรมไม่ใช่เรื่องของขนาดหรือทุนเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของการปรับตัว การมองหาโอกาส และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลจาก Global Market Insights ระบุว่า ตลาดเครื่องจักรอุตสาหกรรมมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ 7.5% ระหว่างปี 2024 ถึง 2032 ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตนี้คือการมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะและอุปกรณ์ใหม่ ๆ (อ้างอิง: Global Market Insights) ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับที่ พรีเมี่ยม อิควิปเม้นท์ กำลังมุ่งไป
ด้วยรากฐานที่แข็งแกร่งจากประสบการณ์อันยาวนาน ผสานกับวิสัยทัศน์ในการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ บริษัท พรีเมี่ยม อิควิปเม้นท์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด จึงไม่เพียงแค่ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของตลาด แต่ยังพร้อมที่จะเป็นผู้นำในการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมเครื่องจักรของไทย เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมของประเทศสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ