บ่อยครั้งที่ผู้ประกอบการ SMEs ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่ควรขอสินเชื่อ
ทั้งไม่ทราบด้วยซ้ำว่าควรขอสินเชื่อเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอต่อความต้องการที่แท้จริง
ทำให้บ่อยครั้งขอมากเกินไปบ้าง จนทำให้มีภาวะในการชำระหนี้เพิ่มขึ้น
หรืออาจจะขอน้อยไปจนไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้จริง ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมากต่อการดำเนินธุรกิจและเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการ SMEs ควรทำความเข้าใจ
โดยหลักการเบื้องต้นสำหรับสินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอี คือการอนุมัติสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์จะพิจารณาผู้กู้บนพื้นฐานสำคัญ 3 ด้าน คือ ประวัติทางการเงิน ผลการดำเนินงาน และ หลักทรัพย์ค้ำประกัน นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์จะพิจารณาปล่อยสินเชื่อให้ตรงกับประเภทธุรกิจ รวมไปถึงการให้วงเงินที่สอดคล้องกับเป้าหมายการขอสินเชื่อ ดังนั้น นี่จึงเป็นประเด็นสำคัญว่า ทำไม SMEs จึงควรขอสินเชื่อเอสเอ็มอีให้ตรงกับศักยภาพของธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้มีโอกาสที่จะได้รับการอนุมัติสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์สูง โดยผู้ประกอบการ SMEs ควรศึกษาเรื่องเหล่านี้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
1.วงเงินต้องเหมาะสม : ผู้ประกอบการย่อมทราบดีว่า
การขอสินเชื่อนอกจากจะเป็นแหล่งเงินทุนที่นำไปใช้ในธุรกิจแล้ว
ยังเป็นภาระของธุรกิจเพราะต้องผ่อนชำระคืน ดังนั้นการขอสินเชื่อก็ต้องขอให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การขอกู้และความสามารถในการชำระหนี้
การขอกู้เงินในจำนวนที่มากเกินไปจะกลายเป็นภาระ อาจจะผ่อนดอกเบี้ยไม่ไหว หากผลประกอบการไม่ได้ตามที่วางเป้า
อาจจะไม่มีเงินเพียงพอชำระดอกเบี้ยและเงินต้น
และอาจจะกลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing
Loan :NPL) ในที่สุด
โดยวงเงิน ดอกเบี้ย ระยะเวลา
เป็นปัจจัยที่กำหนดความสามารถในการผ่อนชำระ สามารถประเมินเบื้องต้นจากรายได้ หรือกระแสเงินสดรับของธุรกิจว่ามากเพียงพอที่จะผ่อนชำระหนี้หรือไหม
ทั้งการขอสินเชื่อที่เหมาะสมจึงไม่ควรทำให้อัตราส่วนภาระหนี้อยู่ในเกณฑ์ที่มีความเสี่ยงต่อการผ่อนชำระ
ทางที่ดีอย่าให้ภาระจ่ายหนี้เกิน 70 % ของรายได้เป็นดีที่สุด
โดยหากจำเป็นต้องขอกู้เพิ่มในภายหลัง ก็ยังก็มีโอกาสที่ธนาคารจะให้กู้เพิ่มได้อีก
2.สินเชื่อมีหลักประกัน :
สินเชื่อที่มีหลักประกัน เป็นสินเชื่อที่ธนาคารจัดว่ามีความเสี่ยงต่ำ
เพราะมีหลักทรัพย์มาค้ำประกันการกู้ยืม สามารถชดเชยความเสี่ยงจากการให้กู้ได้
ดังนั้น สินเชื่อประเภทนี้จะมีอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยหลักทรัพย์อาจจะเป็นที่ดิน บ้าน
รถ โรงงาน แต่ต้องเป็นหลักทรัพย์ที่ปลอดภาระ ซึ่งหากธุรกิจมีทรัพย์สินเหล่านี้
ก็ควรที่จะนำมาเป็นหลักประกันเพื่อเพิ่มโอกาสที่จะได้รับสินเชื่อให้สูงขึ้น
ดอกเบี้ยถูกลง วงเงินได้มากตามมูลค่าหลักประกัน
3.สินเชื่อไม่มีหลักประกัน
การขอกู้แบบไม่มีหลักประกัน มีโอกาสที่จะได้วงเงินไม่สูงนักและอัตราดอกเบี้ยสูง
เพราะธนาคารมองว่ามีความเสี่ยงจากการให้กู้ สินเชื่อประเภทนี้จะมีการพิจารณาสินเชื่อที่รอบคอบและระมัดระวังมาก
ดังนั้นสินเชื่อแบบนี้ ประวัติผู้ขอกู้จึงมีความสำคัญต่อการพิจารณา
หากประวัติทางการเงินดี ผลประกอบการดี การทำบัญชีดีและถูกต้องโปร่งใส
โอกาสที่จะได้รับสินเชื่อก็มีมากขึ้นเช่นกัน
4.สินเชื่อแบบกำหนดระยะเวลาผ่อนชำระ : สินเชื่อประเภทนี้มีระยะเวลาผ่อนชำระชัดเจน
จำนวนเงินที่ผ่อนแต่ละเดือนหรือแต่ละงวดชัดเจน
ส่วนใหญ่เป็นเงินที่มีวงเงินสูงเหมาะสำหรับการขอเพื่อใช้เป็นเงินลงทุนซื้อเครื่องจักรหรือก่อสร้างโรงงาน
5.สินเชื่อแบบวงเงินเบิกเกินบัญชี : อันนี้คงได้ยินกันบ่อย มักเรียกว่าขอ OD เป็นสินเชื่อที่ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจ ส่วนใหญ่ใช้หมุนเวียนระยะสั้น หรือใช้เพื่อกรณีฉุกเฉิน อาทิ การเบิกเงินออกมากซื้อสินค้าเพิ่มเติมเพื่อรอการขายในช่วงสั้นๆ นำเงินมาหมุนเวียนธุรกิจ ดังนั้น สินเชื่อแบบนี้ไม่เหมาะที่จะกู้มาขยายกำลังการผลิต
ทั้งหมดนี้เป็นหลักการในเบื้องต้นสำหรับผู้ประกอบการ SMEs สำหรับความรู้ด้านสินเชื่อเอสเอ็มอี
ที่ควรมีการศึกษาและเข้าใจอย่างชัดแจ้งก่อนการขอสินเชื่อ ทั้งต้องมีการวางแผนที่ดี
ต้องใส่ใจกับการเงินของธุรกิจ
รวมทั้งต้องมีระเบียบวินัยเพียงพอที่จะจัดการกับการเงินให้เป็นระบบ มีความรู้ด้านสินเชื่อเชิงป้องกันก่อนการตัดสินใจขอสินเชื่อ
และที่สำคัญต้องประเมินให้ออกว่า
เมื่อไหร่ธุรกิจควรจะขอสินเชื่อเพื่อการขยายธุรกิจเพราะหลายธุรกิจมักเจอปัญหานี้เพราะในยามที่ต้องการใช้เงินทุนจริงๆ
แต่ดันเคยกู้มาใช้ไปหมดแล้ว
แต่โอกาสที่จะได้วงเงินเพิ่มเพื่อใช้ยามจำเป็นต้องใช้อาจยากขึ้น ดังนั้นเรื่องนี้ต้องรอบคอบ
ขอสินเชื่อ ธุรกิจต้องใช้อะไรบ้าง