ถอดบทเรียนแนวคิดต่างของ “เวิลด์กรีน พลัส” พลิกภาระสู่โอกาส เปลี่ยนของเสียให้เป็นมูลค่า
ในขณะที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับวิกฤตขยะอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บวกกับแรงกดดันจากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด การดำเนินธุรกิจในยุคที่ ESG (Environmental, Social, Governance) กลายเป็นประเด็นสำคัญระดับโลก จึงได้สร้างความท้าทายครั้งใหญ่ให้กับภาคอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะในด้านการจัดการของเสียที่มีความซับซ้อนและต้นทุนสูง
ท่ามกลางความท้าทายดังกล่าว “บริษัท เวิลด์กรีน พลัส จำกัด” ภายใต้การนำของ “คุณสิริ วงษ์พรสถิตย์ (คุณอ้อ)” ได้มองเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่ในวิกฤต ด้วยการพลิกโฉมธุรกิจการจัดการของเสียอุตสาหกรรมครั้งใหญ่ จากแนวคิดดั้งเดิมที่มองว่าขยะอุตสาหกรรมเป็นภาระที่ต้องกำจัด สู่การสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านนวัตกรรมการแปรรูปที่ครบวงจร
บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกกลยุทธ์การเติบโตของ เวิลด์กรีน พลัส จากจุดเริ่มต้นในฐานะผู้รับกำจัดขยะอุตสาหกรรม สู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการจัดการของเสียแบบครบวงจร พร้อมวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้บริษัทสามารถสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ตลอดจนวิสัยทัศน์ที่ขับเคลื่อนองค์กรสู่การเป็นผู้นำด้าน Net Zero ของประเทศไทย
จากขยะอุตสาหกรรม สู่ขุมทรัพย์ทางธุรกิจ
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2554 ช่วงวิกฤตมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ของประเทศไทย ที่ทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มุ่งเน้นเรื่องการรีไซเคิลเพื่อกำจัดขยะทั่วไป แต่คุณสิริกลับมองเห็นช่องว่างทางการตลาดที่เรียกได้ว่ายังไม่มีใครริเริ่มเลยในยุคสมัยนั้น นั่นคือ การจัดการของเสียอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกากอุตสาหกรรมที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบที่ถูกมองข้าม ทั้งที่มีปริมาณมหาศาลและสร้างปัญหาให้กับโรงงานอุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก
“เนื่องจากเติบโตมากับการทำเกษตรกรรม อ้อมั่นใจว่ากากเหลือทิ้งพวกนี้ต้องมีประโยชน์ อย่างน้อย ๆ น่าจะนำไปหมักเป็นปุ๋ยได้ จึงติดต่อขอตัวอย่างกากของเสียจากโรงงาน แล้วนำไปวิเคราะห์ส่วนประกอบร่วมกับคณาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน แน่นอนว่าผลเป็นไปตามคาด กากของเสียเหล่านี้เป็นวัตถุอินทรีย์ที่มีแร่ธาตุสูงมาก” คุณสิริกล่าว
เส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจที่ยั่งยืน
ข้อมูลจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมระบุว่า ขยะอุตสาหกรรมในไทยมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนธันวาคม ปี 2568 ประเทศยังคงต้องเผชิญกับปริมาณขยะจำนวนมากจากภาคอุตสาหกรรม ซึ่งสูงถึง 1.9 ล้านตัน (อ้างอิง: กรมโรงงานอุตสาหกรรม) การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและการนำขยะอุตสาหกรรมกลับมาใช้ใหม่จึงกลายเป็นแนวทางสำคัญในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในเรื่องของ Zero-Waste และ Circular Economy ที่ช่วยลดภาระในการกำจัดขยะและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ
เวิลด์กรีน พลัส เริ่มต้นจากการนำกากอุตสาหกรรมมาผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ตอบโจทย์เกษตรกรรมที่ต้องการลดต้นทุนและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า “อ้อและคณาจารย์พิสูจน์ได้แล้วว่า กากของเสียที่เหลือจากอุตสาหกรรม มีแร่ธาตุสูงพอที่จะนำไปทำเป็นปุ๋ย แต่เราไม่หยุดอยู่แค่นั้น” เนื่องจากในระหว่างการดำเนินธุรกิจ คุณสิริพบว่า โรงงานอุตสาหกรรมต้นกำเนิดของเสีย ต้องแบกรับภาระค่ากำจัดขยะเดือนละหลายล้านบาท จึงเป็นจุดที่ทำให้ เวิลด์กรีน พลัส ขยายบทบาทจากการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ สู่ “บริษัทที่ให้บริการกำจัดขยะอุตสาหกรรมแบบครบวงจร” โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อตอบโจทย์เรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
การเปลี่ยนโมเดลธุรกิจครั้งนี้ ไม่เพียงช่วยลดภาระของโรงงานอุตสาหกรรม แต่ยังช่วยให้บริษัทสามารถขยายขอบเขตการให้บริการไปยังภาคธุรกิจขนาดใหญ่ได้มากขึ้น อีกทั้งสอดรับกับแนวโน้มของตลาดที่ให้ความสำคัญกับแนวคิด Zero-Waste และ Circular Economy อีกด้วย
ก้าวต่อไปของเวิลด์กรีน พลัส เพื่อมุ่งสู่ Zero-Waste ด้วย “การจัดการบรรจุภัณฑ์อุตสาหกรรม”
หลังประกอบธุรกิจรับกำจัดขยะอุตสาหกรรมมากว่า 12 ปี คุณสิริและเวิลด์กรีน พลัส ได้เดินหน้าพัฒนาโซลูชันใหม่ในการจัดการ “บรรจุภัณฑ์อุตสาหกรรม” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของธุรกิจจำนวนมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ที่ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการแยกบรรจุภัณฑ์ออกจากผลิตภัณฑ์ก่อนนำไปกำจัด ซึ่งการใช้แรงงานจำนวนมาก ยังส่งผลให้บริษัทต้องแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นตามมาอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ เวิลด์กรีน พลัส จึงพัฒนาแนวทางใหม่เพื่อช่วยให้กระบวนการดังกล่าวมีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้แก่ การลดการใช้แรงงานคน และเพิ่มโอกาสในการรีไซเคิลวัสดุที่เคยถูกมองว่าเป็นของเสียให้มากขึ้น
“เวิลด์กรีน พลัส มองเห็นโอกาสใหม่ตรงจุดนี้ค่ะ เราจึงนำเข้าเครื่องจักรพิเศษที่มีลักษณะเป็นเครื่องโม่ พร้อมคัดแยก และสามารถนำขยะทั้งชิ้นที่ยังไม่ได้เอาออกจากบรรจุภัณฑ์ใส่ลงไป เครื่องก็จะทำลาย แล้วแยกกากออกจากบรรจุภัณฑ์ให้เราได้ภายในระยะเวลาอันสั้น”
เครื่องจักรที่ทางบริษัทนำเข้ามาใหม่ ตอบโจทย์เรื่องการทำลายสินค้าที่มากับบรรจุภัณฑ์ ปัจจุบัน เวิลด์กรีน พลัส จึงมีลูกค้าเจ้าใหม่จำนวนมากในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นโรงงานผลิตนมยูเอชที โรงงานผลิตน้ำยาปรับผ้านุ่มแบบถุง โรงงานผลิตน้ำกะทิบรรจุกล่อง หรือโรงงานผลิตขนมขบเคี้ยว ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นโรงงานที่จะต้องควบคุมปริมาณการผลิตคาร์บอนออกสู่ชั้นบรรยากาศ
วิเคราะห์กลยุทธ์ที่ทำให้ เวิลด์กรีน พลัส ก้าวสู่ความสำเร็จในฐานะ “ผู้สร้างนวัตกรรมใหม่”
การวางรากฐานความรู้และการวิจัย
เวิลด์กรีน พลัส ให้ความสำคัญกับการศึกษาวิจัยอย่างจริงจัง โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในการวิเคราะห์คุณสมบัติของกากอุตสาหกรรม และพัฒนาแนวทางการนำของเสียมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
การหาพื้นที่รองรับของเสียที่ปลอดภัย
หนึ่งในอุปสรรคสำคัญของธุรกิจนี้คือสถานที่เก็บกากของเสีย แต่เวิลด์กรีน พลัส สามารถพลิกวิกฤตนี้ให้เป็นโอกาส ด้วยการใช้พื้นที่โรงงานร้างที่ถูกทิ้งร้างจากเหตุการณ์อุทกภัย มาเป็นศูนย์กลางการคัดแยกและกำจัดขยะ
การให้บริการที่ครอบคลุม
แทนที่จะทำหน้าที่เป็นเพียงผู้รับกำจัดของเสีย เวิลด์กรีน พลัส ได้ขยายขอบเขตบริการไปสู่การบริหารจัดการของเสียแบบครบวงจร ตั้งแต่การเก็บรวบรวม คัดแยก ไปจนถึงการนำไปใช้ใหม่ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การผลิตพลังงาน หรือวัตถุดิบทดแทนพลังงาน
การตอบสนองเทรนด์ความยั่งยืน
ปัจจุบัน หลายองค์กรให้ความสำคัญกับ ESG (Environmental, Social, Governance) มากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม เวิลด์กรีน พลัส จึงกลายเป็นพันธมิตรสำคัญของอุตสาหกรรมที่ต้องการลดรอยเท้าคาร์บอน (Carbon Footprint) และปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
“สำหรับเวิลด์กรีน พลัส เราไม่ได้ทำเพราะคาดหวังเพียงผลกำไร
แต่เรารู้ว่าการกำจัดขยะสามารถลดภาระให้กับโลกใบนี้ได้
และเมื่อเราใช้ ใจ งานยากแค่ไหนก็สำเร็จ”
ดังนั้น ความสำเร็จของเวิลด์กรีน พลัส จึงไม่ได้เกิดขึ้นจากเพียงแค่แนวคิดที่แปลกใหม่ แต่เกิดจากการผสานนวัตกรรม การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และการตอบสนองต่อความต้องการของตลาดอย่างแม่นยำ ซึ่งหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือการเข้าใจปัญหาเชิงลึก กล่าวคือ นอกจากบริษัทจะเล็งเห็นว่าของเสียคือขยะที่สร้างมูลค่าได้แล้ว ยังมองลึกลงไปถึงว่าการกำจัดขยะเหล่านี้ช่วยสร้างผลลัพธ์เชิงบวกให้แก่โลกของเราได้อย่างไรด้วย
นอกจากนี้ การลงทุนกับความรู้และนวัตกรรมผ่านการร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและการพัฒนากระบวนการใหม่ ๆ ยังช่วยให้บริษัทสามารถนำเสนอทางเลือกที่ดีกว่าคู่แข่ง และที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลย คือ การดำเนินธุรกิจของบริษัทสอดคล้องกับแนวคิด Zero-Waste และ Circular Economy ที่กำลังเป็นที่ต้องการในตลาด ซึ่งเวิลด์กรีน พลัส สามารถตอบโจทย์นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้ เวิลด์กรีน พลัส จึงเป็นตัวอย่างของธุรกิจ SME ที่สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งท่ามกลางความท้าทายของอุตสาหกรรม โดยใช้นวัตกรรม ความเข้าใจตลาด และความสามารถในการปรับตัวเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสำเร็จ