ปีนี้เชื่อว่าจะเป็นปีที่ยากไม่น้อยสำหรับผู้ประกอบการ SME เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด 19 ระลอกใหม่ ส่งผลกระทบขยายวงกว้างต่อเศรษฐกิจ–ความเชื่อมั่นภายในประเทศ ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลกก็ยังไม่ดีขึ้น ส่วนวัคซีนยังต้องรอพิสูจน์ประสิทธิภาพกันต่อไป ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการจับจ่ายใช้สอยธุรกิจต่างได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า ด้วยสถานการณ์เช่นนี้เอสเอ็มอีควรปรับตัวอย่างไรเพื่อให้ไปรอด ผ่านอุปสรรคนานัปการไปได้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
1. สำรองเงินสด
เงินสดนั้นเหมือนดั่ง “เชื้อเพลิง” สำหรับธุรกิจคุณจำเป็นต้องมีเงินสดเพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้
แต่คำถามคือคุณควรมีเงินสดไว้เท่าไหร่ โดยทั่วไปแล้วควรสำรองเงินไว้เท่ากับสามถึงหกเดือนของ
“ค่าใช้จ่าย” แนวคิดก็คือเงินเหล่านี้ควรจะเพียงพอที่จะใช้เพื่อปฏิบัติตามภาระผูกพัน
แม้ในเดือนที่ธุรกิจไม่มีเงินสดไหลเข้ามาก็ตาม
ดังนั้น หากคุณมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 500,000 บาท ให้ตั้งเป้าหมายสำรองเงินสดระหว่าง 1,500,000
บาท ถึง 3,000,000 เบาท
2. ช้อปจบใน Social Media
เพราะ Social Media ไม่ได้เป็นสังคมออนไลน์ที่เอาไว้แชร์ข้อมูลข่าวสาร
ลงรูปภาพสวยเก๋เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่ผู้บริโภคสามารถดูสินค้า
เลือกช้อป จ่ายเงินได้แบบครบในที่เดียว
ก่อนหน้านี้การช้อปปิ้งบนโซเชียลอาจจะเพิ่งเริ่มต้นขึ้น
โดยลูกค้ายังต้องออกจากโซเชียลเพื่อไปทำการโอนเงินให้คนขายผ่านแอปพลิเคชันธนาคารต่างๆ
แต่ต่อไปจะไม่ต้องทำแบบนั้นอีกแล้ว เพราะลูกค้าสามารถทำการโอนเงินได้จบภายในโซเชียลเลย
เรียกได้ว่าสะดวกและประหยัดเวลาสุดๆ สำหรับ Social Media ที่เริ่มมีการเปิดให้ลูกค้าช้อปจบในที่เดียวก็มีทั้ง
Facebook, Instagram, Pinterest และ Snapchat นี่เป็นอีกหนึ่งการตลาดออนไลน์ที่คนทำธุรกิจเอสเอ็มอีควรจะต้องเน้นให้มากขึ้น
3. พันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อนคู่คิดเอสเอ็มอี
ในโลกยุคปัจจุบัน มนุษย์ต้องการได้รับการตอบสนองความต้องการอย่างรวดเร็ว
ธุรกิจจึงมีความจำเป็นต้องปรับกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
หนึ่งในวิธีการที่จะให้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง คือการร่วมมือกันระหว่างพันธมิตรธุรกิจ
เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน
และเพิ่มความสามารถในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดย 4 ข้อดีที่จะได้จากพันธมิตรมีดังนี้คือ
- ด้านองค์กร : ช่วยเสริมความเชี่ยวชาญของบุคคลากรในองค์กร
ให้มีความเชี่ยวชาญยิ่งขึ้น
- ด้านเศรษฐกิจ :
ช่วยลดต้นทุนในการทำธุรกิจ
- ด้านกลยุทธ์ :
จะช่วยเพิ่มโอกาสและความสามารถในการแข่งขันเชิงธุรกิจ
- ด้านความสัมพันธ์
: ช่วยเพิ่มช่องทางการเข้าถึงลูกค้า
4. ลดต้นทุน–ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
เพราะการลดต้นคือการเพิ่มผลกำไร
โดยไม่กระทบถึงผู้บริโภคภายนอก เป็นกระบวนการที่จัดการกันเองภายในองค์กร
โดยอาศัยความร่ามมือจากบุคลากรฝ่ายและทุกคนในองค์ตั้งแต่บนสุดจนถึงล่างสุด การลดต้นทุนมิใช่การลดวัสดุอุปกรณ์
กำลังการผลิต หรือบุคลากร แต่เป็นการใช้สิ่งที่มีอยู่นั้นให้คุ้มค่าที่สุด
5. ปรับโมเดลธุรกิจจาก
Fix เป็น Flexible
ให้มากขึ้น
จากเดิมที่เคยยึดมั่นกับการสร้างรายได้ทางเดียว ช่องทางเดียว
ก็จำเป็นต้องมองหา Business Model ใหม่ที่ทำให้ธุรกิจสามารถสร้างรายได้จากทางอื่นและช่องทางอื่นๆ
ได้มากขึ้น เพื่อให้หากเกิดวิกฤติคล้ายเดิม หรือวิกฤตใหม่ขึ้นมาอีก
ธุรกิจเราจะได้รับมือได้ดีขึ้น เนื่องจากธุรกิจมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
และไม่ได้พึ่งพารายได้จากทางใดทางเดิมเพียงทางเดียว
6. ปรับปรุงระบบจัดเก็บ DATA เพื่อพัฒนากลยุทธ์ขายสินค้า
หลายคนคงทราบดีว่ายุคนี้ เป็นยุคแห่งข้อมูล เพราะการซื้อสินค้าหรือบริการผ่านช่องทางออนไลน์
เรียกได้ว่ากลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนไม่มากก็น้อย
ช่องทางออนไลน์จึงกลายเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ที่เก็บบันทึกพฤติกรรมของผู้ซื้อ
ตั้งแต่ข้อมูลพื้นฐาน ความสนใจ ไปจนถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต ล้วนถูกบันทึกไว้ไม่ว่าจะอยู่ในช่องทางไหน
ข้อมูลเหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์ให้ธุรกิจในการนำไปต่อยอดเพื่อทำการตลาดออนไลน์ทั้งสิ้น
เพราะหากเราสามารถเข้าใจและรับรู้ตัวตนของกลุ่มเป้าหมาย นั่นหมายความว่าเราสามารถนำเสนอสิ่งที่ตรงใจ
ก็มีโอกาสสร้างฐานลูกค้าประจำในอนาคตได้ สำหรับธุรกิจในทุกวันนี้ที่ต่างมีช่องทางของตัวเองอยู่บนโลกออนไลน์
การมีข้อมูลของลูกค้าจึงเป็นเรื่องสำคัญ
7. สามารถทำงานได้ในทุกสถานที่
หลายธุรกิจทำงานภายใต้ระบบแสกนนิ้วตอกบัตรมาตลอด
พอถึงคราวปรับตัวที่ต้องทำงานแบบ Work From Home แม้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรมากก็แค่เปลี่ยนสถานที่
แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่สามารถทำให้ได้งานที่มีประสิทธิภาพออกมาได้เลย ทั้งนี้เป็นเพราะยังไม่คุ้นเคยกับการทำงานรูปแบบใหม่มากพอ
ดังนั้นในแง่ของการทำงานต่อจากนี้ไป ทุกธุรกิจจะต้องสร้างแนวทางการทำงานรูปแบบใหม่ที่ยืดหยุ่นและหลากหลายมากขึ้น
ให้กลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรใหม่ที่ทำงานได้ทุกสถานที่อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งการเปลี่ยนรูปแบบการทำงานแบบไม่ Fix สถานที่นี้
ก็สามารถต่อยอดไปถึงการวางโครงสร้างการประเมินพนักงานรูปแบบใหม่
การจัดการต้นทุนสถานที่การทำงานใหม่ ที่ทำให้ธุรกิจมีต้นทุนลดลง
ทำกำไรได้มากขึ้นได้อีกด้วย
8. เปลี่ยนคนแปลกหน้า ให้เป็นลูกค้าด้วยการตลาด
ในการดำเนินงานการตลาดสมัยใหม่เพื่อให้ประสบผลสำเร็จนั้น
นอกจากการผลิตสินค้าเหมาะสมตรงกับความต้องการของตลาด การกำหนดราคาที่จูงใจ รวมทั้งการจัดระบบการจัดจำหน่ายให้กับลูกค้าเป้าหมายที่ดีแล้วก็ตาม
นับว่ายังไม่เพียงพอ ธุรกิจเอสเอ็มอีจำเป็นจะต้องอาศัยความสำเร็จในการติดต่อสื่อสารไปยังผู้เกี่ยวข้องต่างๆ
อีกด้วย การติดต่อสื่อสารจึงเป็นตัวกลางเชื่อมโยงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายที่มีประสิทธิภาพ
จะสามารถโน้มน้าวพฤติกรรมของผู้รับข่าวสาร ให้เกิดการยอมรับและปฏิบัติตามได้
ด้วยเหตุนี้เอสเอ็มอีจำเป็นต้องสื่อสารกับลูกค้าเพื่อให้เกิดการยอมรับ และตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการที่เสนอขาย ซึ่งอาจจะเป็นการโฆษณารูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ในเวลาอันรวดเร็ว และขยายเป็นวงกว้าง, การประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างภาพลักษณ์เสริมเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่แบรนด์ หรือสินค้าทั้งทางตรงและทางอ้อม เป็นต้น