ภายหลังมีการออกมาฟันธงว่า การเติบโตของธุรกิจเอสเอ็มอีในปี
2563 จะลดลงเหลือเพียง 2.7% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตได้ถึง 3.5% สาเหตุหลักคือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ที่กระทบต่อภาคการท่องเที่ยวซึ่งมีสัดส่วนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสูงถึง 58%
อาจทำให้ผู้ประกอบการตื่นตระหนกอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตามอย่าได้ตื่นตกใจมากเกินไป เนื่องจากรัฐบาลไทยยังเล็งเห็นความสำคัญของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในประเทศ ซึ่งมีจำนวนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมากกว่า 3 ล้านราย มียอดขายสินค้าคิดเป็น 40% ของจีดีมวลรวม และทำให้เกิดระบบการจ้างงานได้ถึง 14 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ที่สูงถึง 80-85% ของการจ้างงานในประเทศทั้งหมด
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจึงเปรียบเสมือนกลุ่มฟันเฟืองช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมานาน
รัฐบาลจึงยกระดับเรื่องของเอสเอ็มอีให้เป็นวาระแห่งชาติ
เพื่อพยุงให้สามารถข้ามวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ไปได้ ด้วยโครงการ
"ต่อเสริมเติมทุนเอสเอ็มอีสร้างไทย" ที่ผ่านความเห็นชอบจาก ครม.
ไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2563 โดยแบ่งการช่วยเหลือเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
1. ปล่อยกู้เสริมสภาพคล่อง ให้แก่ SMEs ที่ต้องการสภาพคล่องทางการเงิน โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
(บสย.) มีวงเงินค้ำประกัน 60,000 ล้านบาท ให้ธนาคารออมสินปล่อยกู้เปลี่ยนเครื่องจักรวงเงิน
20,000 ล้านบาท เเละปล่อยกู้เสริมสภาพคล่อง ชำระหนี้ วงเงิน 50,000 ล้านบาท
2. ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ผู้ประกอบการ
SMEs ให้ บสย.ขยายเวลาค้ำประกันเเละปรับเงื่อนไขให้สถาบันการเงินปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่
SMEs เพื่อให้ทำธุรกิจต่อไปได้
3. ปล่อยกู้วงเงินให้กลุ่ม SMEsที่ มีศักยภาพ มากกว่าเเสนล้านบาท การเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ จะเป็นผู้ที่มีศักยภาพมาก
และมีวงเงินปล่อยกู้ให้มากกว่าเเสนล้านบาท จากกองทุน สสว.ปล่อยกู้วงเงิน 50,000 ล้านบาท,
เงินกู้เพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชนของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย
(ธพว.) วงเงิน 20,000 ล้านบาท สินเชื่อ SME ประชารัฐสร้างไทย ธนาคารออมสิน วงเงิน 45,000
ล้านบาท รวมถึงสินเชื่อจากธนาคารกรุงไทยด้วย 10,000 ล้านบาท
จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2562 ที่สะดุดลงจากวิกฤติการณ์ทางการเงินโลก
ซึ่งเกิดจากสงครามทางการค้าโลกระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก ทำให้เกิดผลกระทบในห่วงโซ่เศรษฐกิจโลกแล้ว
สถานการณ์เรื่องเชื้อโควิด-19 แพร่ระบาดในประเทศจีนและหลายประเทศทั่วโลก ยังคงกระหน่ำซ้ำเศรษฐกิจให้ซบลงกว่าเดิม
จากความหวั่นเกรงเรื่องการแพร่ระบาดของโรค ทำให้ผู้คนจับจ่ายใช้สอยน้อยลง
ท่องเที่ยวน้อยลงและมีการเก็บตัวอยู่กับบ้านมากขึ้น ไม่แค่แต่ในประเทศจีน แต่ในประเทศไทยก็เงียบเหงาด้วยเช่นกัน
ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยฉุดเศรษฐกิจโดยรวมลง ดังนั้นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำเป็นต้องติดปีกหลบ
ปรับกลยุทธ์สู้เพื่อให้ผ่าน ณ ช่วงเวลานี้ไปให้ได้
ทั้งนี้ มี เดวิด ฟิสแมน
ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยโตรอนโตของแคนาดา
ได้เขียนบทวิเคราะห์เกี่ยวกับไวรัสโคโรน่าหรือโควิด-19 ในเมืองอู่ฮั่นให้กับสมาคมโรคติดต่อระหว่างประเทศ (International
Society for Infectious Diseases)
หากประเมินช่วงฤดูกาลตามคำพูดของฟิสแมน นักวิจัยแคนาดาที่อยู่ในซีกโลกเหนือ
กล่าวว่า
“จากการประเมินข้อมูลชุดแรกที่มีอยู่
ในกรณีดีที่สุดอาจจะต้องรอจนผ่านพ้นฤดูใบไม้ผลิไปถึงฤดูร้อน เมื่อถึงเวลานั้นไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ก็จะหยุดระบาด” หากประเมินช่วงฤดูกาลตามคำพูดของฟิสแมน
นักวิจัยแคนาดาที่อยู่ในซีกโลกเหนือ หมายความว่า
ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะระบาดทั่วโลกนานถึงปลายเดือน ก.ย. หรือหยุดระบาดอย่างเร็วที่สุดคือเดือน
ส.ค.
หากเป็นเช่นที่นายฟิสแมนคาดการณ์ไว้จริง สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจก็อาจะจะสะดุดต่อเนื่องไปจนเกือบหมดปี 63 เพราะต้องมีระยะฟื้นฟูให้ทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติดังเดิมเพิ่มเติมเข้ามา ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำเป็นต้องหาวิธีรับมือกับการผันผวนทางเศรษฐกิจและตั้งรับปักหลักสู้ดำเนินกลยุทธ์ใหม่ เพื่อพลิกเกมให้ทันท่ามกลางกระแสโลกที่เปลี่ยนเร็ว ซึ่งกลยุทธ์ที่เอสเอ็มอีต้องนำมาปรับใช้เพื่อให้ธุรกิจสามารถผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจไปได้
กลยุทธ์การเดินเกมธุรกิจให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤติ
1. ปรับตัวให้เร็วในทุกสถานการณ์รอบด้าน
2. ตอบรับเทคโนโลยีให้มากขึ้นตามเทรนด์โลกให้ทัน
3. อ่านเกมให้ไว
ติดตามข้อมูลข่าวสารความรู้อย่างต่อเนื่อง พร้อมปรับใช้ในธุรกิจได้ทันท่วงที
4. ปรับกลยุทธ์เปลี่ยนมาเป็นการวางแผนในระยะยาวเป็นเดือนหรือรายไตรมาส
แทนการวางแผนแบบวันต่อวัน เพื่อรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจและปัจจัยลบต่างๆ
ที่รุมเร้า
ทั้งนี้ หากไม่ถอดใจและยังยืนหยัดสู้ต่อไปก็ไม่แน่หรอกว่าในวิกฤติเศรษฐกิจที่เป็นอยู่
อาจนำมาสู่รูปแบบการทำธุรกิจที่จับพลัดจับผลูแล้วตอบโจทย์ในการทำธุรกรรมที่เปลี่ยนไป
และเข้ากับทิศทางการดำเนินงานของตัวเอง จนนำมาสู่รายได้และการเติบโตต่อยอดไปได้ในแบบที่ถ้าไม่มีเรื่องที่เข้ามากดดันก็คงคาดคิดวางแผนไปไม่ถึง
เพราะในทุกวิกฤติย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา.
แหล่งอ้างอิง : https://news.thaipbs.or.th/content/287746