วิกฤติโควิด 19 ครั้งนี้แตกต่างจากวิกฤติต้มยำปี 2540 คือ ต้นเหตุไม่ได้มาจากภาคการเงิน แต่ปัญหามาจากภาคเศรษฐกิจเป็นหลักที่ได้รับผลกระทบโดยตรง จากมาตรการควบคุมโรคระบาดและการปิดเมืองฉุดสภาพเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรงทั้งระบบ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบสาหัสสากรรจ์มากที่สุด เพราะเป็นกลุ่มธุรกิจเปราะบางสายป่านสั้น ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลต้องอัดงบประมาณมหาศาลเพื่อเยียวยาผู้ประกอบการอย่างเร่งด่วนที่สุด เนื่องจาก SMEs เป็นฟันเฟืองสำคัญของระบบเศรษฐกิจทั้งในแง่มูลค่าและการจ้างงาน
โดยที่ผ่านมา SMEs สร้างรายได้ให้กับประเทศมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 43 ต่อผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) และเป็นแหล่งจ้างงานสำคัญของประเทศไทย โดยก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19 มีแรงงานทำงานอยู่ในภาค SMEs ทั้งหมดกว่า 14 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 85 ของแรงงานทั้งประเทศ ส่วนใหญ่อยู่ในภาคการค้าและบริการ ดังนั้นภาครัฐต้องเข้าไปช่วยเหลือให้ผ่านมรสุมนี้ไปให้ได้
สาเหตุที่ภาครัฐต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เนื่องจาก SMEs มีสายป่านในการทำธุรกิจสั้นกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ ข้อมูลงบการเงินของ SMEs ที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลปี 2560 พบว่าเมื่อเทียบกับธุรกิจขนาดใหญ่นั้น ส่วนใหญ่มีฐานะทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้อย่างจำกัดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยผู้ประกอบการจำนวน 1.7 แสนรายที่ประสบภาวะขาดทุน คิดเป็น 1 ใน 3 ของ SMEs ทั้งหมด นอกจากนี้เมื่อดูผลกำไรจากการดำเนินงานนั้นถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับรายจ่ายที่เกิดขึ้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
หากปล่อย SMEs ล้ม ยากที่เศรษฐกิจไทยพลิกฟื้นเร็ว
ปัญหาดังกล่าวภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) ทราบเป็นอย่างดีว่า หากปล่อยให้ SMEs ที่มีฐานะการเงินความสามารถในการชำระหนี้และสภาพคล่องที่ค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว
ต้องล้มหายตายจากไปทั้งหมด ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม และยากที่เศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวในระยะเวลาอันสั้น
จึงจำเป็นต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน เพื่อประคับประคองการดำเนินธุรกิจและรักษาระดับการจ้างงานให้คงอยู่ต่อไป
ด้วยการขอความร่วมมือกับสถานบันการเงินของรัฐเข้าไปกอบกู้อีกทาง โดยรัฐบาลและ ธปท.
ได้ออกมาตรการตาม พ.ร.ก. การช่วยเหลือทางการเงินที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19
ได้แก่
1. การเลื่อนชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือนให้กับ SMEs
ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท โดยไม่ถือว่าเป็นการผิดนัดชำระหนี้และไม่เสียประวัติข้อมูลเครดิต
2. สินเชื่อเงื่อนไขผ่อนปรน (soft loans) แก่ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 500 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี นาน 2 ปี วงเงินรวม 5 แสนล้านบาท โดยรัฐบาลจะรับภาระดอกเบี้ย 6 เดือนแรกให้
นอกจากนี้มีการให้สินเชื่อใหม่หรือสินเชื่อเพิ่มเติมผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐสำหรับลูกหนี้
SMEs วงเงินรวม 3.96 แสนล้านบาท
ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะช่วยลดภาระการชำระดอกเบี้ยจ่ายให้กับ SMEs ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ และเป็นการเพิ่มสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจในอนาคต
นักเศรษฐศาสตร์แนะภาครัฐอุ้มทั้งระยะสั้นและระยะยาว
ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์อย่าง ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ได้จำกัดความเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ว่า ตกอยู่ในสภาพ “เคราะห์ซ้ำกรรมซัด” โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งเมื่อพิจารณา “ขนาดของธุรกิจ” แล้วจะพบว่าธุรกิจใหญ่ที่มีสายป่านยาว มีเงินสะสมเยอะก็ยังพอประคองตัวเองไปได้ หรือถ้าเขาลำบากจริงๆ ก็ยังสามารถขอกู้เงินจากธนาคารได้ง่ายแต่ในส่วนของ SMEs ที่มีไซส์ S (ขนาดเล็ก) ปกติจะมีเงินสดอยู่ในมือถือครองอยู่ได้ประมาณ 45-60 วัน ทว่าในสถานการณ์ปัจจุบันนี้หาก 90 วัน ไม่มีเงินสดเข้ามาเลย ธุรกิจพวกนี้จะล้มลงระเนระนาดไปทั้งหมด
“SMEs มีการจ้างงานราว 14 ล้านคน หากล้ม คนก็จะตกงานมากขึ้น ส่วนประชาชนก็ใช้เงินอย่างระมัดระวังตัวให้มากที่สุด
ยกตัวอย่างคนที่มีเงินอยู่ในมือ 18 บาท จะไม่ได้ใช้จ่าย 18
บาททั้งหมด คนจะคิดมากขึ้น คือจะใช้จ่ายอย่างประหยัดที่สุดอาจแค่ 8
บาท เก็บไว้ 10 บาท เศรษฐกิจมันเลยหมุนช้าลงๆ
น้อยลงๆ พอภาคธุรกิจเอสเอ็มอีในประเทศไทยที่มีจำนวนมากกว่า 3 ล้านราย ต้องมาแย่งเงินที่เหลืออีกแค่ 10 บาท
ก็เลยมีการฟาดฟันกันดุเดือดมากขึ้น”
ดร.เกียรติอนันต์
ให้ความคิดเห็นอีกว่า เมื่อธุรกิจกำลังจะตายทุกอย่างก็จะวิ่งกลับไปหายังภาครัฐว่ามีมาตรการช่วยเหลืออย่างไร
ซึ่งทางที่ดีที่สุดมาตรการช่วยเหลือในขณะนี้ภาครัฐจำเป็นอย่างยิ่งต้องยื่นมือช่วยเหลือทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
แต่ในระยะสั้นก็ต้องให้เงินเขาก่อนเพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจให้สามารถประคองเอาตัวรอดไปได้
ซึ่งเงินพวกนี้พอใส่เข้าไปแล้วมันไม่ได้ก่อนให้เกิดรายได้กลับมาสู่ภาครัฐทันทีต้องรอสักระยะ
ขณะเดียวกันมาตรการช่วยเหลือในระยะยาวต้องไม่ทิ้ง เพราะยังไม่มีคำตอบที่สมบูรณ์ว่าอิทธิฤทธิ์ของโควิด
19 นั้นหมดฤทธิ์จากประเทศไทยไปแล้วหรือยัง เมื่อยังไม่มีคำตอบก็ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นอีก
ประเทศไทยจะกลับมาระบาดอีกรอบเหมือน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฯลฯ หรือไม่
หากเกิดขึ้นจริงตามที่หลายฝ่ายประเมินตรงกันว่า สถานการณ์จะรุนแรงเกินจินตนาการ
ทุกวันนี้ลมหายใจของเศรษฐกิจไทย
คงไม่ต่างไปจากทุกประเทศทั่วโลกที่ถูกโควิด 19 เขย่าจนสั่นสะเทือนไปทุกหย่อมหญ้า
แม้ว่าประเทศไทยได้รับการยกย่องจากนานาชาติว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่รับมือกับไวรัสมรณะได้เป็นอย่างดี
และเป็นประเทศที่ฟื้นตัวจากโรคระบาดได้รวดเร็วเป็นลำดับต้นๆ ของโลก
หากแต่ในมิติของเศรษฐกิจนั้น ดูจะรวยรินเต็มทน
อ้างอิง : ธนาคารแห่งประเทศไทย
https://www.posttoday.com/finance-stock/news/630216
ตรวจชีพจร "เศรษฐกิจไทย" ในวันที่ลมหายใจ "ธุรกิจ" รวยริน