Social Enterprise หรือเรียกสั้นๆ ว่า SE แปลเป็นภาษาไทยอย่างเป็นทางการว่า
‘วิสาหกิจเพื่อสังคม’
เป็นรูปแบบธุรกิจที่ตั้งขึ้นมาภายใต้วัตถุหลัก คือต้องดำเนินกิจกรรมที่ช่วยเหลือหรือร่วมแก้ปัญหาให้กับสังคมหรือสิ่งแวดล้อม
แนวคิด SE มีต้นกำเนิดในประเทศแถบยุโรป โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษ ถือว่าเป็นต้นแบบของ SE ขณะที่ในประเทศไทยเริ่มรู้จักกันเมื่อราว 10 กว่าปีก่อน โดยมีบริษัทที่ตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะช่วยแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมอยู่หลายบริษัท แต่ก็พบว่า SE ในประเทศไทยขยายได้ช้ามาก เนื่องจากไม่มีการสนับสนุนจากภาครัฐเหมือนกับประเทศอื่นๆ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
กระทั้งเมื่อปีที่ผ่านมา มีประกาศพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม
พ.ศ. 2562 และล่าสุดเมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา
คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ก็ได้ประกาศแต่งตั้งนางนภา เศรษฐกร
เป็นผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม จึงถือได้ว่าประเทศไทยได้มีกฎหมายและหน่วยงานที่รับผิดชอบในการส่งเสริม
SE อย่างสมบูรณ์แบบเป็นครั้งแรก
นางนภา กล่าวว่า ประเทศไทยมีการดำเนินงานธุรกิจรูปแบบวิสาหกิจเพื่อสังคมมานานนับสิบปี
แต่ต้องยอมรับว่าขยายตัวช้า เพราะธุรกิจประเภทนี้จำเป็นต้องลงทุนลงแรงมากกว่าการทำธุรกิจเต็มรูปแบบ
ดังนั้นจึงต้องมีการส่งเสริมจากรัฐบาลเช่นเดียวกับ SE ในประเทศอื่นๆ
การที่ SE เป็นกิจการที่ต้องลงทุนลงแรงมากกว่าการทำธุรกิจแบบปกติทั่วไป
ก็เพราะธุรกิจ SE ไม่ได้เอากำไรเป็นตัวตั้ง
แต่ต้องเอาเป้าหมายในการแก้ปัญหาสังคมหรือสิ่งแวดล้อมเป็นตัวตั้ง
ส่วนกำไรที่ได้ทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งต้องนำกลับไปขยายกิจการ เพื่อให้กิจการที่ดำเนินการนั้นมีความเข้มแข็ง
ซึ่งเป็นการขยายผลให้กิจการนั้นๆ สามารถช่วยเหลือสังคมหรือสิ่งแวดล้อมได้อย่างเต็มที่
เงื่อนไขการเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม
ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมฯ
กำหนดไว้ว่า บริษัทหรือองค์กรที่สามารถจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมได้
ต้องเข้าเงื่อนไขดังนี้
1. มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมการจ้างงานแก่บุคคลผู้สมควรได้รับการส่งเสริมเป็นพิเศษ
รวมทั้งเป็นกิจกรรมการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาชุมชน สังคม หรือสิ่งแวดล้อม
หรือเพื่อประโยชน์ส่วนรวมอื่นหรือคืนประโยชน์ ให้แก่สังคมตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
2. ต้องมีรายได้มาจากการขายสินค้าหรือบริการไม่น้อยกว่าร้อยละ
50 แต่หากบริษัทหรือองค์กรนั้นไม่นำกำไรมาจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเลย
ก็สามารถมีรายได้มาจากการขายสินค้าหรือบริการได้น้อยกว่าร้อยละ 50 (ที่เหลืออาจมาจากการบริจาค)
3. ผลกำไรที่ได้จากกิจการไม่น้อยกว่าร้อยละ
70 ต้องนำกลับไปใช้ในกิจการขององค์กรหรือบริษัทตามเงื่อนไขข้อที่
(1) และสามารถแบ่งผลกำไรให้ผู้ถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ 30
แต้มต่อที่วิสาหกิจเพื่อสังคมได้รับ
นางนภา บอกต่อว่า บางคนอาจสงสัยว่าจะมีใครมากน้อยที่สนใจทำวิสาหกิจเพื่อสังคม
เพราะเป็นกิจการที่ผู้ถือหุ้นหรือผู้ลงทุนไม่สามารถเอาผลกำไรได้ทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์
“การทำธุรกิจหรือกิจการอะไรก็ตาม คงไม่สามารถหวังประโยชน์ในรูปแบบผลกำไรเพียงอย่างเดียว
ที่ผ่านมาก็มีให้เห็นมากมาย หลายคนหลายองค์กรทำเพื่อประโยชน์ในรูปแบบอื่นๆ
หลายคนทำเพื่อความสุขที่ได้เห็นผู้คน สังคม หรือสิ่งแวดล้อมดีขึ้น
ยิ่งในปัจจุบันเราต่างก็เห็นว่า องค์กรที่ทำเพื่อสังคม เพื่อสิ่งแวดล้อม จะได้รับการยอมรับจากตลาดมากกว่า”
อย่างไรก็ตามการที่จะผลักดันให้เกิด SE ในประเทศไทยให้มากขึ้นนั้น ก็จำเป็นที่จะต้องมีแต้มต่อเพื่อให้องค์กร SE ที่ตั้งขึ้นนั้นสามารถยืนและเติบโตต่อไปได้ในอนาคต
พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม
จึงได้กำหนดสิทธิพิเศษให้กับองค์กรที่จะลงทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชนไว้ ประกอบด้วย
1.
ความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม
2. สิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร
3. สิทธิประโยชน์ตามมาตรการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐตามกฎหมาย
ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
4. สิทธิประโยชน์ตามกฎหมายอื่น
นางนภา กล่าวต่อว่า ดังที่กล่าวแล้วว่าการสนับสนุนให้ SE เกิดขึ้นมากๆ จำเป็นต้องมีแต้มต่อ
โดยจากการทำงานเกี่ยวกับ SE มาหลายปี ตั้งแต่สมัยอยู่ในตำแหน่งอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ
พบว่าจำเป็นต้องส่งเสริมคนดีธุรกิจดีอย่างรอบด้าน เพราะการแข่งขันปัจจุบันสูงมาก
ดังนั้นสำนักงานฯ จึงได้เตรียมแผนดำเนินงานฝึกอบรมความรู้ให้กับผู้ประกอบธุรกิจ SE
ทั้งด้านการบริหารจัดการ การตลาด และการใช้เทคโนโลยี ซึ่งทั้ง 3
ส่วนนี้มีความสำคัญที่สุด
จดทะเบียน SE แล้ว 130 องค์กร
ปัจจุบันสำนักงานส่งเสริมกิจการวิสาหกิจเพื่อสังคม
ได้รับจดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคมแล้ว 130 องค์กร ทั้งรายเล็กและรายใหญ่ คิดเป็นมูลค่าจดทะเบียน 4,520 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายในช่วงปีแรกของการจัดตั้งสำนักงาน
จะมีการขอจดทะเบียนเพิ่มอีกอย่างน้อย 25 เปอร์เซ็นต์
นางนภา กล่าวถึงการส่งเสริม SE ว่า การทำธุรกิจรูปแบบนี้จะส่งผลต่อภาพรวมให้สังคมมีความเข้มแข็ง
และเมื่อสังคมเข้มแข็งก็จะส่งผลให้ธุรกิจเข้มแข็งไปด้วย
ดังนั้นจึงขอเชิญชวนไม่ว่าจะเป็นกิจการขนาดใหญ่หรือขนาดเล็ก
หันมาทำวิสาหกิจเพื่อสังคมให้มากขึ้น
ขณะเดียวกันก็ขอเชิญชวนประชาชนทั่วไป
สนับสนุนสินค้าหรือบริการของ SE ซึ่งก็เท่ากับทุกคนมีส่วนในการสนับสนุนให้สังคมเข้มแข็งขึ้นด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจจะจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อ Bualuang Green<<
7 กฎเหล็กทำธุรกิจที่ปรับใช้ได้ทุกยุคสมัย
เรื่องน่ารู้! เทคนิค BCM เพื่อรับมือความเสี่ยงช่วงโควิด-19