กรณีศึกษาจากการที่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับการระงับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส
COVID-19 พร้อมกันกับการเร่งกระตุ้นและพลิกฟื้นเศรษฐกิจในประเทศที่ซบเซาและแทบไม่มีการดำเนินกิจกรรมใดๆ
ตั้งแต่ช่วงวันหยุดเทศกาลตรุษจีนปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา
โดยรัฐบาลจีนได้ออกมาตรการทางเศรษฐกิจจำนวนมาก เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ โดยเฉพาะการใช้เครื่องมือการเงินมหภาค เช่น การขยายเวลายื่นชำระภาษี การสนับสนุนให้ธนาคารพิจารณาเงินกู้พิเศษสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) การสนับสนุนให้รัฐวิสาหกิจลดค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์แก่เอกชน
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
โมเดลการแบ่งปันพนักงานหรือ “staff
sharing”
แม้รัฐบาลจีนจะเร่งออกมาตรการจำนวนมาก
เพื่อส่งเสริมการกลับมาประกอบการและดำเนินการผลิตอีกครั้ง
แต่ธุรกิจบางส่วนที่ได้เริ่มเปิดทำการในขณะนี้ กลับยังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน
ในทางกลับกันธุรกิจภาคบริการจำนวนมากโดยเฉพาะโรงแรม ร้านอาหาร และการท่องเที่ยว
ที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้กลับมาเปิดทำการอย่างเต็มรูปแบบ
ก็ต้องแบกรับต้นทุนทั้งค่าเช่าและค่าตอบแทนพนักงานทั้งที่ไม่มีรายได้
สถานการณ์เช่นนี้ได้กระตุ้นให้ภาคเอกชนจีน
คิดหาทางร่วมมือกันเพื่อบริหารจัดการภาวะวิกฤต
และนำไปสู่โมเดลการแบ่งปันพนักงานหรือ “staff sharing” เพื่อช่วยเหลือกันและกัน โดยธุรกิจที่เปิดทำการแล้วแต่ประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน
จะได้ประโยชน์จากการยืมตัวพนักงานของธุรกิจที่ยังไม่สามารถกลับมาดำเนินการ หรือยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มรูปแบบ
มาช่วยแบ่งเบาภาระงานที่ล้นมือของตน
ขณะเดียวกันธุรกิจที่ให้ยืมตัวพนักงานก็ได้ประโยชน์จากการลดภาระต้นทุนค่าจ้าง
อีกทั้งพนักงานทั้งหมดยังมีรายได้และลดความเสี่ยงของการเลิกกิจการอีกด้วย
อาทิเช่น ในมณฑลยูนนานซึ่งล่าสุดมีการประกาศลดระดับความรุนแรงของสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ
จากระดับ 1 เป็นระดับ 3 แล้วและเริ่มมีสถานประกอบการหลายแห่งกลับมาเปิดทำการ
ก็มีภาคเอกชนได้ร่วมมือกันนำโมเดลการแบ่งปันพนักงานมาใช้เพื่อบริหารจัดการแรงงานในภาวะวิกฤตเช่นเดียวกัน
โดยเฉพาะระหว่างกลุ่มธุรกิจภาคการผลิตและภาคบริการที่เปิดทำการแล้ว
กับกลุ่มธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารที่ยังไม่สามารถเปิดทำการได้อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ในภาพรวมเมื่อพิจารณาโดยใช้ลักษณะการทำข้อตกลงจ้างงานเป็นเกณฑ์
โมเดลการแบ่งปันแรงงานระหว่างภาคเอกชนจีนอาจจำแนกได้เป็น
3 รูปแบบ ดังต่อไปนี้
1. สถานประกอบการที่ต้องการพนักงาน ทำความตกลงโดยตรงกับลูกจ้างที่ต้องการงานชั่วคราว ในช่วงที่สถานประกอบการของตนยังไม่สามารถกลับมาเปิดทำการได้
โดยสัญญาลักษณะนี้มักเป็นการจ้างงานแบบไม่ประจำ (part-time
job) ในช่วงเวลาที่มีการตกลงกันระหว่างผู้ว่าจ้างกับผู้รับจ้าง
2. สถานประกอบการที่ต้องการพนักงาน ทำความตกลงกับสถานประกอบการอื่น โดยสัญญาลักษณะนี้มักเป็นการยืมตัวพนักงานของสถานประกอบการที่ยังไม่สามารถเปิดทำการได้มาช่วยสนับสนุนงานที่ไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะมาก
ซึ่งผู้ว่าจ้างทั้งสองฝ่ายอาจร่วมสมทบค่าตอบแทนในสัดส่วนที่ตกลงแก่ผู้รับจ้าง
และผู้รับจ้างที่ไปปฏิบัติหน้าที่ในสถานประกอบการอีกแห่งยังคงมีสถานะเป็นพนักงานสังกัดผู้ว่าจ้างเดิม
3. สถานประกอบการที่ต้องการพนักงาน ทำความตกลงผ่านตัวกลาง โดยรูปแบบนี้ยังไม่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่เป็นข้อเสนอที่หลายฝ่ายหยิบยกขึ้นมา หากโมเดลการแบ่งปันพนักงานยังเป็นที่สนใจภายหลังวิกฤตโควิด-19
คลี่คลาย โดยตัวกลาง (agent) เช่น ภาครัฐ
หรือนายหน้าจัดหางาน
อาจเข้ามามีบทบาทในกระบวนการสรรหาและจับคู่สถานประกอบการที่มีความต้องการในด้านนี้
รวมทั้งบริหารจัดการความร่วมมือลักษณะดังกล่าวให้มีมาตรฐานและคุณภาพเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจจีนในภาพรวม
โมเดลความร่วมมือในการแบ่งปันพนักงาน ระหว่างภาคเอกชนจีนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นี้ นอกจากจะช่วยส่งเสริมสถานประกอบการที่กลับมาเปิดทำการและดำเนินการผลิตอีกครั้ง ให้สามารถดำเนินงานอย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นแล้ว ยังเป็นการแบ่งเบาภาระด้านต้นทุนให้แก่สถานประกอบการส่วนที่เหลือซึ่งยังไม่สามารถกลับมาเปิดทำการได้
ขณะเดียวกันก็ยังสร้างรายได้ให้แก่แรงงาน
ซึ่งจะเป็นปัจจัยส่งเสริมความสามารถในการบริโภคในระบบเศรษฐกิจจีน
โมเดลความร่วมมือข้างต้นจึงนับเป็นกรณีศึกษาที่ดี เกี่ยวกับการปรับตัวของภาคเอกชนในภาวะวิกฤต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์จากการหันมาร่วมมือกัน ที่สำคัญ
ความร่วมมือในภาวะวิกฤตยังสามารถนำไปประยุกต์และต่อยอดเพื่อสร้างความร่วมมือทางธุรกิจใหม่ๆ ที่ช่วยยกระดับสภาพแวดล้อมการประกอบธุรกิจในภาพรวมได้อีกด้วย
แหล่งอ้างอิง : https://thaibizchina.com