ค่าแรงถือว่าเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนที่ถูกบรรจุเป็นนโยบายช่วงปีแรกของรัฐบาลปัจจุบัน ที่เน้นแก้ปัญหาปากท้อง ลดความเหลื่อมล้ำ โดยมีแนวทางว่าจะมีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 425 บาทต่อวัน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ใช้แรงงานจากค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้น เป็นการรักษาสัญญาตามนโยบายรัฐที่ได้สัญญาไว้ช่องหาเสียงเลือกตั้ง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
การผลักดันเรื่องดังกล่าวเป็นไปอย่างยากลำบาก ท่ามกลางกระแสค้านจากฝ่ายนายจ้าง กระทั่งเมื่อวันที่
6 ธันวาคม 2562 ในการประชุมคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 20 ครั้งที่ 6/2562 ที่มีนายสุทธิ สุโกศล
ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธาน ได้มีมติการขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปี 2562
โดยได้ข้อสรุปร่วมกันในการปรับขึ้นเฉลี่ย 5-6 บาทเป็น 313-336 บาทต่อคนต่อวัน โดยแบ่งเป็น 10 ระดับตามพื้นที่
โดยมี 9 จังหวัด คือ ชลบุรี ภูเก็ต ปราจีนบุรี กรุงเทพมหานคร
นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร ที่ได้รับการปรับขึ้น 6 บาท ส่วนจังหวัดที่เหลือ 68 จังหวัดจะปรับขึ้น 5 บาท
สำหรับจังหวัดที่ได้ปรับขึ้นสูงสุดคือ
จ.ชลบุรี และจ.ภูเก็ต อัตรา 336 บาทต่อคนต่อวัน
ส่วนจังหวัดที่ปรับขึ้นน้อยสุด มี 3 จังหวัด คือ นราธิวาส
ปัตตานี และยะลา ปรับเพิ่มขึ้น 5 บาทเป็น 313 บาทต่อคนต่อวัน
ทั้งนี้
กระทรวงแรงงานจะนำผลสรุปเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาให้ความเห็นชอบโดยเร็วที่สุด
เพื่อให้ทันประกาศบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2563
ปัจจัยสำคัญที่ถูกนำมาประกอบการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำในครั้งนี้
ทางคณะกรรมการระบุว่า ได้พิจารณาอย่างรอบด้านแล้วว่า การปรับค่าจ้างจะผลดีต่อการเจริญเติบโตต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ
โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน ภาวะเงินเฟ้อ
และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ส่วนมาตรการลดผลกระทบนั้น
มีกระทรวงพาณิชย์ได้เข้ามาดูแลในเรื่องการควบคุมราคาสินค้า เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน
รวมทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงแรงงาน
ได้ดูแลในเรื่องผลกระทบด้วยการประกันการว่างงาน
และการเพิ่มทักษะฝีมือให้แรงงานมีทักษะที่สูงขึ้น
ภาคเอกชนหวั่นสินค้าไทยแข่งขันยากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในมุมภาคเอกชน
ก็ยังมองเห็นแตกต่างกัน ประเด็นแรกชี้ว่าหากขึ้นค่าแรงในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ จะยิ่งซ้ำเติมภาคเอกชนที่ต้องแบกรับภาระต้นทุนหลายด้าน
ทั้งยังประสบปัญหาการส่งออกชะลอตัว โดยยอดส่งออก 10
เดือนของไทยลดลง 2.40%
จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงด้วยปัญหาสงครามการค้ายืดเยื้อ
และปีหน้าไทยกำลังจะถูกสหรัฐฯ ตัดสิทธิพิเศษด้านภาษีศุลกากร (GSP) ซึ่งจะทำให้ไทยมีต้นทุนทางภาษีสูงขึ้น ในตลาดสหรัฐ ซึ่งถือเป็นตลาดหลัก
ที่สำคัญการปรับค่าแรงจะส่งผลทำให้แข่งขันไม่ได้ หากเทียบกับคู่แข่งในอาเซียนเพราะปัจจุบันต้นทุนค่าแรงงานของไทยสูงสุดในอาเซียน
ตามด้วยอันดับ 2 คือ ฟิลิปปินส์ 197-341 บาท เวียดนาม 156-173 บาท อินโดนีเซีย 99-271 บาท เป็นต้น
ดังนั้นเอกชนหลายรายมองว่า
อนาคตหากธุรกิจแข่งขันไม่ได้เพิ่มขึ้นจะนำไปสู่ปัญหาการลดคน หรือบางรายอาจหันไปปรับปรุงนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตแทนแรงงานคนไปเลย
หรือไม่ก็อาจจะขยายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ในกลุ่ม CLMV
ที่ยังมีความได้เปรียบเรื่องค่าแรงงานที่ถูกกว่าไทย
ขณะที่ผู้ประกอบการอีกฝั่ง ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าอุปโภค บริโภค ที่ขายในตลาดในประเทศเป็นหลัก เห็นว่าหากจะขึ้นค่าแรงงานระดับนี้ ยังสามารถแบกรับได้ เพราะคิดเป็นสัดส่วนต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไม่ได้สูงมากนักประมาณ 1-2% เทียบกับ "กำลังซื้อ" จากกลุ่มแรงงานที่จะเพิ่มขึ้น ดังนั้นหากไม่ปรับขึ้นค่าแรงเลยก็อาจกระทบเศรษฐกิจเช่นกัน จากผลพวงที่แรงงานไทยไม่ได้มีข่าวดีในการปรับขึ้นค่าแรงงานเลยมา 2 ปี ทำให้กำลังซื้อตลาดในประเทศไม่ขยายตัวเลย
เอ็กซ์เรย์ 10 อาชีพดาวรุ่ง-ดาวร่วงรับปี 2563
ไม่แย่อย่างที่คิด! ภาพรวมธุรกิจ SMEs ไตรมาส 3