แม้ว่ายอดการส่งออกของไทยจะปรับตัวลดลงจากปัญหาสงครามการค้า กระทบต่อเศรษฐกิจโลก และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ "สินค้ายางพารา" ยังถือเป็นไม้เศรษฐกิจสำคัญที่สร้างรายได้จากการส่งออกกลับสู่ประเทศ มูลค่าถึง 4,602 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2561 และล่าสุดในช่วง 10 เดือนแรก 3,516 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.7% ของการส่งออกภาพรวม และเกี่ยวพันถึงเกษตรกรกว่า 1.7 ล้านคนในพื่นที่ 17 ล้านไร่
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ในปีหน้าการส่งออกไม้เศรษฐกิจสำคัญชนิดนี้
กำลังจะต้องเผชิญความท้าทายอีกครั้ง
เนื่องจากองค์การสหประชาชาติและประเทศผู้ซื้อยางและไม้ยางพารา
กำหนดให้ประเทศผู้ผลิตน้ำยางและไม้ยางพารา ต้องผ่านมาตรฐานสากลการจัดการสวนป่าที่ยั่งยืนทั้ง
Forest
Stewardship Council หรือ FSC และ Program
for the Endorsement of Forest Certification หรือ PEFC หากประเทศผู้ส่งออกรายใดไม่ผ่านมาตรฐานนี้
มีความเสี่ยงที่ลูกค้าซึ่งเป็นบริษัทผู้ใช้ยางในสหภาพยุโรป เช่น
อิเกียผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์จากสวีเดน หรือ มิชลิน ผู้ผลิตล้อยางจากฝรั่งเศส
จะไม่ซื้อยางพาราดังกล่าว
ในส่วนการเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้
"ไทย" ในฐานะผู้ผลิตและส่งออกยางพาราที่สำคัญของโลก ได้พัฒนา
“ระบบการรับรองการจัดการป่าไม้ของไทย หรือ Thailand Forest
Certification System (TFCS) อย่างเป็นทางการ
และได้รับการรับรองมาตรฐานเทียบเท่าสากลแล้ว นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2562
ที่ผ่านมา
ระบบดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทยที่เกี่ยวข้องกับการค้าไม้
ทั้ง ธุรกิจโรงเลื่อย และไม้ยางพารา, ไม้เพื่อพลังงาน,
ไม้ประกอบ, เฟอร์นิเจอร์, ของเล่นเด็ก, ไม้เพื่อการขนส่งและบรรจุภัณฑ์
ทำให้ไม่ต้องเดินทางไปขอออกใบรับรองถึงต่างประเทศอีกต่อไป
และหากได้รับการรับรองจะช่วยให้สามารถขายได้ในมูลค่าที่สูงขึ้น
และเป็นที่ยอมรับในตลาดต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.ขวัญชัย ดวงสถาพร คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า รัฐบาลต้องแนวทางเร่งด่วน โดยกำหนดเรื่องนี้ให้เป็นวาระแห่งชาติเร่งพัฒนาศักยภาพการทำสวนยางทั้งระบบให้เป็นไปตามมาตรฐาน พร้อมทั้งกำหนดหรือสร้างองค์กรที่มีภารกิจในการรับมือ เจรจา และสร้างการรับรู้กับผู้เกี่ยวข้อง เช่น การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ มหาวิทยาลัย ควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพ สร้างความพร้อมของชาวสวน และผู้ประกอบการ
ขณะเดียวกันต้องสร้างมาตรฐานการบริหารจัดการป่าไม้ของไทย
หรือ forest
management standard for Thailand บนพื้นฐานของงานวิจัยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก FSC หรือ PEFC พร้อมทั้งต้องวิจัยเพื่อพัฒนารูปแบบที่เหมาะสมจากการจัดการสวนยาง
เพื่อรองรับการตรวจมาตรฐานภายใน 1-2 ปีนี้ และเร่งรัดเพิ่มศักยภาพให้สวนยางไทย ผ่านมาตรฐานการรับรองการจัดการป่าไม้ในระดับนานาชาติ
สอดรับกับบทวิเคราะห์เรื่องการปลูกยางพาราอย่างยั่งยืน
ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ประจำกรุงเบอร์ลิน ที่ระบุว่า
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานานาชาติได้มีความคาดหวังเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ ที่ต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม
และปัญหาสังคม ซึ่งจะทำให้การทำธุรกิจยากลำบากมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจยางพารา
ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีความสำคัญ เพราะสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ
ได้จำนวนมาก อาทิ ถุงมือยาง ล้อยาง เบาะ และถุงยาง เป็นต้น
การปลูกยางพารานั้นมีความสัมพันธ์กับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม เช่นเดียวกับพืชเศรษฐกิจชนิดอื่น ดังนั้น หากมีการพัฒนาการปลูกยางด้วยเทคโนโลยีทีทันสมัย สร้างความยั่งยืนโดยยึดหลักการด้านเศรษฐกิจและสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ หรือ UNGPs ( The United Nations Guiding Principles on Business and Human Rights) ประกอบด้วย 3 เสา คือรัฐบาลต้องกำหนดกฎกติกาที่ชัดเจน เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบของภาคเอกชน และการจัดตั้งกลไกการตรวจสอบข้อร้องเรียนมาสนับสนุน ทั้งหมดนี้จะช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้