ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะพัฒนาให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอันเฟื่องฟูของประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่องในทศวรรษหน้า
หากแต่มีความจำเป็นที่โครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวควรได้รับการจัดการให้มีประสิทธิภาพมากพอที่จะรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
อมาเดอุส บริษัทเทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยวระดับโลก ได้ร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) และสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (พาต้า) จัดทำรายงานเรื่อง “ประเทศไทยสู่ปี 2030: จับกระแสอนาคตอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” เพื่อนำเสนอปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืนเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตด้านรายได้ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในทศวรรษหน้า
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
เพิ่มขีดความสามารถสนามบิน
ในปี 2561
มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนประเทศไทยถึง 38.27 ล้านคน
และกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาคาดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจะพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องในปี
2562 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรายได้ที่เพิ่มขึ้นของผู้คนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
อย่างไรก็ตามรายงาน “ประเทศไทยสู่ปี 2030: จับกระแสอนาคตอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว”
เน้นย้ำว่า นอกเหนือจากการขยายอาคารสนามบินที่ได้วางแผนไว้แล้วนั้น ท่าอากาศยานของประเทศไทยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการเคลื่อนย้ายผู้โดยสารภายในอาคารสนามบิน
เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของท่าอากาศยาน
ตลอดจนสร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในทศวรรษหน้าอีกด้วย
รายงานแนะนำว่า
ระบบการเช็คอินด้วยตนเองผ่านคีออส เครื่องดร็อปกระเป๋าอัตโนมัติ
และการยืนยันตัวตนผ่านระบบไบโอเมตทริกซ์
เป็นเทคโนโลยีสำคัญที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเคลื่อนย้ายผู้โดยสาร
และสำหรับสนามบินที่มีผู้โดยสารหนาแน่น
ควรพิจารณาเปิดให้บริการเช็คอินและดร็อปสัมภาระนอกสนามบิน
ซึ่งเป็นระบบที่ใช้เทคโนโลยีคลาวด์เข้ามาอำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสารสามารถเช็คอิน
รวมถึงดร็อปกระเป๋า นอกอาคารผู้โดยสารได้อีกด้วย
เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ MICE\“bleisure”
2 เซ็กเม็นต์ที่น่าจับตา ได้แก่
ธุรกิจ MICE (อุตสาหกรรมการจัดประชุมสัมมนา การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล การประชุมนานาชาติ
และการจัดนิทรรศการ) และนักท่องเที่ยวกลุ่มที่เกี่ยวข้องกัน คือกลุ่ม “bleisure” หรือผู้ที่เดินทางมาเพื่อธุรกิจแล้วอยู่ท่องเที่ยวพักผ่อนต่อ
โดยตลาดทั้งสองนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทย
ในการสร้างรายได้ที่หลากหลายยิ่งขึ้นในทศวรรษหน้า
นอกเหนือไปจากการเชื่อมต่อระบบรางระหว่างสนามบินกับศูนย์ประชุมโดยตรง เพื่อผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรม MICE ในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง เช่น ขอนแก่น พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต และเชียงรายแล้ว รายงานยังแนะนำว่าในผู้ประกอบธุรกิจ MICE ในพื้นที่เหล่านี้ควรจัดตารางเวลารถไฟและเที่ยวบิน ให้สอดคล้องกับเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการประชุม เพื่อกระตุ้นการเติบโตของตลาด bleisure ด้วยเช่นกัน
เทคโนโลยีอัจฉริยะ ท่องเที่ยวไทยในปี
2030
นายไซมอน เอครอยด์ รองประธานกรรมการ ฝ่ายวางแผนกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ อมาเดอุส เน้นย้ำว่า
พื้นที่จุดหมายปลายทางของตลาด MICE ในประเทศไทย
ต้องมีเทคโนโลยีที่จะสามารถสร้างประสบการณ์การเดินทางที่ไร้รอยต่อ
เพื่อให้เพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระดับนานาชาติ
โดยในอนาคตอันใกล้นี้
จุดหมายปลายทางยอดนิยมในกลุ่ม MICE ในภูมิภาคจะหันมาแข่งขันกันที่ความสะดวกและความรวดเร็วในการเดินทาง
ดังนั้น
เมืองเหล่านี้จึงจำเป็นต้องลงทุนด้านเทคโนโลยีที่จะช่วยมอบความสะดวกสบายให้นักท่องเที่ยว
เช่น บริการเช็คอินและดร็อปกระเป๋า ณ สถานที่จัดประชุม ยิ่งไปกว่านั้น
เทคโนโลยีที่นำมาใช้ยังต้องมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะจุดหมายปลายทางในตลาด MICE ข้างต้นไม่ได้แข่งขันกับเพียงจังหวัดอื่นๆ
ในประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเมืองอื่นๆ ในภูมิภาคอีกด้วย
ยกระดับระบบขนส่งในเขตเมือง
การสัญจรอัจฉริยะ (Smart Mobility) หรือโซลูชันที่เชื่อมต่อข้อมูลและเทคโนโลยีเข้าไว้ด้วยกัน
เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของการเคลื่อนที่ของประชากรรอบๆ เมือง
เป็นอีกประเด็นสำคัญ
โดยโซลูชันนี้จะเข้ามาช่วยลดความแออัดและมลภาวะในเขตเมืองของประเทศไทย
และทำให้เมืองน่าดึงดูดยิ่งขึ้นในทั้งสายตาของนักท่องเที่ยวและนักลงทุน
Smart Mobility ในประเทศไทยยังอยู่ในระยะเริ่มต้น
แต่เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพสูงมากในการปรับปรุงการเดินทางในเขตเมืองได้ โดยการใช้ข้อมูลการขนส่งในการจัดการระบบการจราจรแบบเรียลไทม์
เช่น สัญญาณไฟจราจร หรือจัดการบริการด้านเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน (Sharing Economy) เช่น รถรับส่ง Grab และ Get เป็นเพียง 2 แนวทางเด่นๆ
ในการประยุกต์ใช้โซลูชันนี้ แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่แข็งแกร่ง
รายงานดังกล่าวยังชี้ให้เห็นว่า ความท้าทายสำคัญประการหนึ่งคือ ภาครัฐของประเทศไทยยังไม่ทราบว่าจะร่วมมือกับบริษัทใด ในขณะที่ภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทขนาดเล็ก ธุรกิจสตาร์ทอัพ และนักลงทุนต่างประเทศเองก็มักไม่ทราบว่าจะร่วมมือในลักษณะใด ดังนั้น ที่ปรึกษาฝ่ายที่สามอาจมีความสำคัญในการนำผู้เล่นจากทั้งสองภาคส่วนมาพบกัน
การท่องเที่ยว เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
ความสำคัญของการวางมาตรการต่างๆ
เพื่อปกป้องสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศไทยจากความเสี่ยงของปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมือง
หากประเทศไทยต้องการจะบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในอนาคต
คณะทำงานด้านการท่องเที่ยว หน่วยงานท้องถิ่น และธุรกิจบริการ ควรสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ
เพื่อการวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ (Real-time
Analysis) และการวางโมเดลด้วยเทคนิคการทำนายข้อมูล
(Predictive Modeling) แต่เช่นเดียวกับ Smart Mobility การใช้เทคโนโลยีข้างต้นยังคงอยู่ในระยะเริ่มต้นในประเทศไทย
ทั้งนี้การบริหารจัดการในช่วงฤดูท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพ การศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีวิเคราะห์และใช้ข้อมูลจึงมีความสำคัญพอๆ กับการเข้าถึงแหล่งข้อมูล หากนำมาใช้อย่างเป็นระบบ ข้อมูลเหล่านี้จะไม่เพียงช่วยในการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังช่วยในการวางแผนอีกหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการตั้งราคาตั๋ว ไปจนถึงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายการท่องเที่ยวระยะยาว
ดาวน์โหลดรายงาน “ประเทศไทยสู่ปี 2030: จับกระแสอนาคตอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” ฉบับเต็มได้ที่ https://amadeus.com/en/insights/research-report/thailand-towards-2030