เศรษฐกิจยังไม่ฟื้น! ‘สภาผู้ส่งออก’ คาดติดลบต่ำสุด 10%

เศรษฐกิจไทยหลังคลายล็อกดาวน์ยังคงน่าเป็นห่วงจากปัจจัยลบหลายด้าน ที่ทำให้มีแนวโน้มจะติดลบดิ่งลงไปได้ถึง 8 % จากที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าว่าจะติดลบประมาณ 3-5% โดยมีปัจจัยที่มีผลมาจากธุรกิจภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศและมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว ผนวกกับภาคการส่งออกยังดำเนินการได้ไม่เต็มที่ และกำลังซื้อของครัวเรือนและภาคธุรกิจยังอ่อนแอ  

นอกจากนี้ยังมีเรื่องการแข็งค่าของเงินบาทที่แข็งค่าเร็วกว่าสกุลเงินอื่นในเขตภูมิภาคเดียวกัน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นจากการกดดันการส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรม ในหมวดสินค้าที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพ

แม้จะมีการคาดการณ์ว่าครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้แบบ U Shape ก็ตาม แต่ก็ยังเสี่ยงต่อปัจจัยลบรอบด้าน ล่าสุดสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า การส่งออกเดือนพฤษภาคม 2563 มีมูลค่า 16,278 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 22.50% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน

ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme 

โดยส่งออกในรูปเงินบาทเท่ากับ 524,584 ล้านบาท ลดลง 20.91% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน (YoY) ขณะที่การนำเข้าเดือนพฤษภาคม 2563 มีมูลค่า 13,583 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 34.41 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน และการนำเข้าในรูปของเงินบาทมีมูลค่า 443,478 ล้านบาท ลดลง 33.08% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน

ส่งผลให้เดือนพฤษภาคม ไทยเกินดุลการค้า 2,694 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 81,105 ล้านบาท (การส่งออกเมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย เดือน พ.ค. การส่งออกลดลง 27.19%) ทำให้ สรท.ปรับคาดการณ์การส่งออกไทยในปี 2563 จะติดลบ 10% บนสมมติฐานค่าเงิน 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 5 ก.ค. = 31.12 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ)

ปัจจัยหลักที่ทำให้การส่งออกไทยติดลบมีผลมาจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว อุปสงค์จากคู่ค้าหดตัวลง อุปทานการผลิตภายในประเทศยังไม่ฟื้น ตัวส่งผลให้ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบและอาจถึงขั้นต้องปิดกิจการ ทำให้เกิดภาวะหดตัวทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงของการส่งออก

โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม อาทิ กลุ่มสินค้ายานยนต์ที่มีการหดตัวลดลงอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนมีนาคม อ้างอิงจากรายงานมูลค่าและปริมาณสินค้าออกจำแนกตามกิจกรรมการผลิตแบบรายเดือน

ขณะที่ข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท,) ระบุว่า

สินค้ายานยนต์  มีมูลค่าการส่งออกเดือนกุมภาพันธ์ 93,019.36 ล้านบาท ในเดือนมีนาคมลดลง 89,250.35 ล้านบาท เดือนเมษายนลดลงเหลือ 43,430.99 ล้านบาท และในเดือนพฤษภาคมมีมูลค่า 43,795.40 ล้านบาท

รถยนต์ที่นั่ง  มีมูลค่าการส่งออกเดือนกุมภาพันธ์ที่ 93,019.36 ล้านบาท เดือนมีนาคมลดลง 89,250.35 ล้านบาท เดือนเมษายนลดลงเหลือ 43,430.99 ล้านบาท และเดือนพฤษภาคมมีมูลค่า 43,795.40 ล้านบาท

รถจักรยานยนต์  มีมูลค่าการส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์ 6,885.37 ล้านบาท เดือนมีนาคม 6,904.34 ล้านบาท เดือนเมษายน 442.77 ล้านบาท และเดือนพฤษภาคม 4,708.20 ล้านบาท

ยานพาหนะอื่น  มีมูลค่าการส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์ 1,438.04 ล้านบาท เดือนมีนาคมลดลงเหลือ 1,498.81 เดือนเมษายนลดลงเหลือ 805.88 และเดือนพฤษภาคมมีมูลค่า 863.99 ล้านบาท

ชิ้นส่วนและอุปกรณ์สำหรับยานยนต์  มีมูลค่าการส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์ 43,258.28 ล้านบาท เดือนมีนาคมลดลง 42,215.17 ล้านบาท เดือนเมษายนลดลง 19,409.55 ล้านบาท และเดือนพฤษภาคมลดลงเหลือ 28,195.09 ล้านบาท ผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และกำลังการซื้อภายในประเทศลดลงจากความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการอนุมัติสินเชื่อรถยนต์ เป็นเหตุให้ยอดขายภายในประเทศปรับตัวลดลงถึง 17.1% โดยอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนฯ เป็นส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเข้าประเทศไทย คิดเป็นร้อยละ 10 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ

ทำให้ยอดการผลิตรถยนต์ในปีนี้ต้องปรับตัวลดลง 11% หรืออยู่ที่ 1.8 ล้านคัน สถานการณ์การลงทุนของผู้ผลิตรถยนต์จึงลดลง โดยค่าย GM ประกาศยกเลิกสายการผลิตทั้งหมดในประเทศไทยภายในสิ้นปีนี้ และ อีซูซุ, โตโยต้า, ฮอนด้า, มิตซูบิชิ, ฟอร์ด, มาสด้า, นิสสัน ประกาศหยุดการผลิตชั่วคราวในเดือนเมษายนที่ผ่านมา เพื่อสะท้อนผลกระทบจากการระบาดของ โควิด-19 และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมากเกินคาด

ด้านสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ปีนี้เป้าหมายการผลิตรถยนต์ที่วางไว้ 2 ล้านคัน คงเป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้จะถึง 1 ล้านคันหรือไม่ต้องติดตามสถานการณ์โควิด-19 ต่อไป ซึ่งปีนี้อุตสาหกรรมยานยนต์ได้รับผลกระทบมากที่สุดเพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกประเทศ ขณะที่ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศเดือนเมษายน มีจำนวน 30,109 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว  65.02 % และลดลงจากเดือนมีนาคม 49.91 % ซึ่งยอดขายภายในประเทศลดลงจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ประชาชนอยู่บ้านและไม่อยากใช้เงินเพราะรายได้และความเชื่อมั่นลดลง 

ดังนั้นอุตสาหกรรมยานยนต์ต้องปรับตัวด้วยการคงน้ำหนักการลงทุนให้น้อยกว่าตลาด หันมาปรับลู่ทางการลงทุนใหม่ๆ เช่น เพิ่มฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ที่กำลังตอบโจทย์ยุค New normal เพื่อดึงดูดการลงทุนจากแหล่งอื่น ที่อาจย้ายฐานการผลิตจากจีนไปสู่ประเทศอื่นๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง เลี่ยงสถานการณ์ชิ้นส่วนสำคัญขาดตลาดเหมือนเมือคราวที่จีนปิดประเทศ  รวมทั้งปรับลดระดับระบบการผลิตมาเป็นแบบ just in time หรือโยกฐานการผลิตออกสู่ประเทศเพื่อหาแหล่งต้นทุนที่ถูกกว่า

รวมถึงมีการพิจารณาปรับใช้ระบบออโตเมชัน หุ่นยนต์ และเครื่องจักรอัตโนมัติรูปแบบต่างๆ เข้ามาช่วยในกระบวนการผลิตมากขึ้น เป็นแนวทางป้องกันปัญหาด้านกำลังการผลิตที่ต้องอาศัยแรงงานในการจัดทำ เพื่อลดปัญหา social distancing ที่อาจรับมือได้ยากกว่า แม้ในระยะสั้นจะมีต้นทุนเพิ่ม แต่ในระยะยาวจะทำให้ธุรกิจสามารถบริหารจัดการต้นทุนและคุณภาพสินค้าได้ดีขึ้น รวมถึงลดความเสี่ยงจากปัญหาต่างๆ ได้ท่ามกลางสถานการณ์ของโรคโควิด-19 ที่ยากจะสงบลง

สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<< 

การส่งเสริมยานยนต์ EV โอกาสของ SMEs อยู่ตรงไหน?

ส่องตลาดรถยนต์ After Sale Service ออสเตรเลีย