หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาและนายสี
จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เปิดศึกสงครามการค้าข้ามโลกต่างงัดมาตรการยกระดับความรุนแรงในการปรับขึ้นภาษีสินค้าเพื่อตอบโต้ระหว่างกัน
โดยสหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 25% คิดเป็นมูลค่า 200,000
ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา (รวมครั้งแรกขึ้นภาษี 10% คิดเป็นมูลค่า 300,000
ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ส่วนทางการจีนเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าประกาศขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯคิดมูลค่า
60,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะเดียวทางการจีนยังได้กดค่าเงินหยวนให้อ่อนค่าลงเพื่อสร้างความได้เปรียบได้การค้า
การที่สองชาติมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกจากซีกตะวันตกกับซีกตะวันออกเปิดศึกสงครามการค้าตอบโต้กันอย่างรุนแรงแบบไม่มีใครยอมใครครั้งนี้ กำลังสร้างผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไปทั่วโลก
รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้ออกมาประเมินว่า
ในจำนวนสินค้าจีนที่ถูกขึ้นภาษี 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯนั้น อาจเป็นไปได้ว่าจะทำให้การส่งออกสินค้าไทยลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หรือยอดส่งออกจะลดลงประมาณ 5,600-6,700
ล้านเหรียญสหรัฐฯเสียทีเดียว
อย่างไรก็ตามสองชาติมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกเปิดศึกสงครามการค้าครั้งนี้ ยังมีสินค้าไทยในกลุ่มภาคเกษตรพอจะได้รับอานิสงส์ เพราะทำให้สินค้าเกษตรไทยหลายรายการกำลังกลายเป็นสินค้าเกษตรกลุ่มดาวรุ่งสามารถส่งออกสู่จีนในปี 2562 อนาคตสดใส
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
น้ำตาล โอกาสทองส่งออกจีน
หากมองถึงปัจจัยบวกหรือโอกาสทองสำหรับผู้ส่งออกสินค้าเกษตรไทยจากสงครามการค้าที่ห่ำระหั่นกันระหว่างสหรัฐฯกับจีนนั้น
นายสิริวุทธิ เสียมภักดี ประธานคณะทำงานด้านประชาสัมพันธ์ของ 3
สมาคมโรงงานน้ำตาลทราย มองวว่า เกษตรกรผู้ปลูกไร่อ้อยทั่วประเทศน่าจะได้รับอานิสงส์เต็มๆจากจีนที่ปรับขึ้นภาษีนำเข้าน้ำตาลจากสหรัฐอเมริกา
แม้ว่าสหรัฐฯเองก็ไม่ได้รับกระทบเช่นกัน เพราะที่ผ่านมาจีนนำเข้าน้ำตาลจากออสเตรเลีย-สปป.ลาว
และไทย แต่การนำเข้าน้ำตาลจากไทยยังติดปัญหาการถูกจำกัดด้วยโควตาอยู่
หากไทยจะขยายตลาดส่งออกน้ำตาลไปจีนก็จะต้องเจรจาในเรื่องของโควตากับจีนอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้สิ่งที่ส่งกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยในปัจจุบัน คือ เรื่องค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินบาท หรือเท่ากับสินค้าไทยแพงขึ้น ดังนั้นไทยต้องเทียบอัตราแลกเปลี่ยนเงินเหรียญสหรัฐฯกับอัตราแลกเปลี่ยนของผู้ผลิตและผู้ค้าน้ำตาลโลกประเทศอื่น ๆ ด้วย เพราะตอนนี้ยังมีปริมาณสต๊อกน้ำตาลในตลาดโลกมีอยู่จำนวนมากที่คงค้างมาจากปี 2561 ทำให้ราคาน้ำตาลในตลาดโลกทรงตัวในระดับต่ำ
ราคากากถั่ว-ข้าวสาลีถูกลง
ผู้ประกอบการโรงงานผลิตอาหารสัตว์ไทยได้รับอานิสงส์จากวิกฤตสงครามการค้าเช่นกัน
ซึ่งนายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ
ธุรกิจผลิตและขายอาหารสัตว์บก บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF มองว่านี่คือโอกาสทองของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในปี
2562 ได้รับปัจจัยบวกเต็มๆเพราะมีโอกาสขยายตัว 3-5%
จากปัจจัยเรื่องของต้นทุนอาหารสัตว์ถูกลง เช่น ข้าวโพด กากถั่วเหลือง รำ
ราคามีแนวโน้มลดลง 4-5% โดยเฉพาะกากถั่วเหลือง-ข้าวสาลี
ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
“ที่ผ่านมาสหรัฐฯเป็นประเทศผู้ผลิตส่งออกกากถั่วเหลือง ข้าวสาลีรายใหญ่ของโลก การที่จีนประกาศขึ้นภาษีวัตถุดิบอาหารสัตว์จากสหรัฐฯทำให้ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ถูกลง การนำเข้าลดลง ขณะที่จีนซึ่งเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ลดการนำเข้า ดังนั้นความต้องการในตลาดก็จะเพิ่มปริมาณมากขึ้น แต่ผู้ผลิตมีเท่าเดิม ตรงนี้อาจจะเป็นโอกาสของผู้ผลิตที่จะนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์จากสหรัฐฯในราคาถูก”
เนื้อไก่แนวโน้มส่งออกเพิ่ม 100%
การที่จีนปรับขึ้นภาษีนำเข้าไก่จากสหรัฐฯ นายคึกฤทธิ์
อารีปกรณ์ ผู้จัดการสมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย ยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อสหรัฐฯ
เนื่องจากจีนไม่ได้นำเข้าเนื้อไก่จากสหรัฐฯอยู่แล้ว ส่วนผู้ส่งออกไทยย่อมมีโอกาสจะขยายตลาดส่งออกเนื้อไก่ไปยังจีนได้มากขึ้น
หรือจาก 18,000 ตัน เป็น 30,000-40,000 ตัน หลังจากที่จีนเปิดตลาดนำเข้าไก่จากไทยเป็นปีนี้เป็นปีแรก (ปัจจุบันมีโรงงานไทย 7 ราย จาก 27
รายที่ผ่านการรับรองจากจีน) โดยผู้ส่งออกไก่ไทยจะได้รับการลดภาษีนำเข้าตามกรอบความตกลงเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน
เป็น 0%
และปีนี้ยังมีปัจจัยบวกจากกรณีที่จีนเกิดภาวะโรคอหิวาต์หมูทำให้ประชาชนหันมาบริโภคไก่แทนด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีสินค้าเกษตรที่พลอยได้รับอานิสงส์จากศึกสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน
แต่ก็มีสินค้าเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตครั้งนี้ไม่แพ้กัน นั้นก็คือยางพารา
ซึ่งถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของภาคใต้ของไทย
ไว้ตอนหน้าเรามาติดตามเรื่องนี้กัน