สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)
ได้สรุปสถานการณ์และผลกระทบสงครามการค้าต่อการส่งออกครึ่งปี 2562
และโอกาสส่งออกสินค้าศักยภาพหลังมาตรการภาษีของสหรัฐมีผลบังคับใช้ 1 กันยายน 2562
โดยพบว่าไทยยังสามารถรักษาและขยายส่วนแบ่งตลาดทั้งในสหรัฐฯ และจีนได้เพิ่มขึ้น
เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่มีส่วนแบ่งตลาดลดลง
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสินค้าไทยยังมีขีดความสามารถในการส่งออก
ท่ามกลางสงครามการค้าที่ยังไม่ชัดเจน และมีความผันผวนสูง
โดยการติดตามผลกระทบจากสงครามการค้า สหรัฐฯ
นำเข้าจากจีนลดลงจากสัดส่วน 20.51% ในช่วง 6 เดือนของปี 2561 เหลือ 18.02%
ในช่วงเดียวกันของปีก 2562 ประเทศที่มีส่วนแบ่งตลาดสหรัฐฯ ลดลง ได้แก่ แคนาดา
เยอรมนี มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
ส่วนประเทศที่มีส่วนแบ่งตลาดสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ได้แก่ เม็กซิโก ญี่ปุ่น เกาหลีใต้
สหภาพยุโรป (สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์) อินเดีย เวียดนาม
ไต้หวัน และไทย โดยมีสัดส่วนเพิ่มจาก 1.27% เป็น 1.31%
ส่วนจีน นำเข้าจากสหรัฐฯ ลดลงจากสัดส่วน 8.17% เหลือ 6.04% ในช่วง 6 เดือนของปี 2562 โดยประเทศที่มีส่วนแบ่งตลาดจีนลดลง ได้แก่ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน เวียดนาม และอินโดนีเซีย ประเทศที่มีส่วนแบ่งตลาดจีนเพิ่มขึ้น ได้แก่ ออสเตรเลีย เยอรมนี บราซิล มาเลเซีย รัสเซีย ซาอุดิอาระเบีย และไทย โดยมีสัดส่วนเพิ่มจาก 2.12% เป็น 2.23%
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
เปิดโพยสินค้าได้รับประโยชน์จากสงครามการค้า
สำหรับสินค้าของไทยที่มีศักยภาพในการส่งออกทดแทนในตลาดสหรัฐฯ
และจีน ภายใต้มาตรการตอบโต้ที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีจีนกลุ่ม 2.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
และจีนตอบโต้สหรัฐฯ มูลค่า 1.1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ที่มีผลบังคับใช้แล้ว
พบว่าสินค้าไทยที่ส่งออกไปทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้น ได้แก่ ปลานิลแช่แข็ง
กุ้งและปลาหมึกแช่แข็ง
เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (ที่ไม่ใช่น้ำผักและผลไม้) แผงวงจรรวม
สื่อเก็บข้อมูลแบบจานแม่เหล็ก น้ำมันเครื่อง น้ำมันหล่อลื่น ผลิตภัณฑ์สัตว์ที่ไม่ใช่เพื่อการบริโภค
สำหรับสินค้าที่ไทยส่งออกไปทดแทนสินค้าสหรัฐฯ
ในตลาดจีน ได้แก่ น้ำแอปเปิ้ล น้ำผึ้ง แป้ง ผงที่ทำจากพืช กระดาษแข็ง
ฝาพลาสติกสำหรับบรรจุภัณฑ์ อุปกรณ์โทรศัพท์ เครื่องแก้วสำหรับใช้ในครัว
อุปกรณ์ติดตั้งสำหรับเฟอร์นิเจอร์
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากสินค้าข้างต้น
ยังมีกลุ่มสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออกทดแทนสินค้าจากจีนในตลาดสหรัฐฯ
และทดแทนสินค้าสหรัฐฯ ในจีนเพิ่มเติมอีก ภายใต้มาตรการใหม่ที่เพิ่งมีผลบังคับใช้ 1
ก.ย.2562 โดยสินค้าไทยที่มีโอกาสส่งออกทดแทนสินค้าจีนในสหรัฐฯ เช่น มะพร้าว ขิง
ทุเรียน ลูกกอล์ฟ เลนส์แว่นตา เครื่องซักผ้า ชุดชั้นในสตรี พืชมีชีวิตและต้นไม้
(กล้วยไม้) และสินค้าที่มีศักยภาพส่งออกทดแทนสินค้าสหรัฐฯ ในจีน เช่น
ผลิตภัณฑ์นมและครีม ขนมที่ทำจากน้ำตาล (ที่ไม่มีโกโก้ผสม) ยางนอกชนิดอัดลม
และเอสเซนต์เชียลบาล์ม
แนะขยายตลาดส่งออกทดแทน จีน – สหรัฐ
ปัจจุบันมาตรการตอบโต้ทางการค้าที่มีผลบังคับใช้แล้ว
คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4.8 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เป็นส่วนที่สหรัฐฯ
ขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน มูลค่า 3.83 แสนล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 68%
ของการนำเข้าจากจีน และจีนขึ้นภาษีตอบโต้สหรัฐฯ มูลค่าประมาณ 9.5
หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 60% ของการนำเข้าจากสหรัฐฯ
ที่สำคัญหากตอบโต้กันเต็มรูปแบบตามกำหนดเดิมวันที่
15 ธ.ค.2562 สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีสินค้าจากจีนมูลค่า 5.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
หรือเกือบทั้งหมดที่สหรัฐฯ นำเข้าจากจีน ยกเว้นสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพ ความปลอดภัย
ความมั่นคงของประเทศ เช่น ยาและเวชภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์แร่และเคมีภัณฑ์ยางชนิด โลหะ
เครื่องจักรกลสำหรับการเคลื่อนย้าย ขนส่ง อุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับโทรศัพท์
ที่นั่งสำหรับเด็ก และกลุ่มสินค้าที่จีนจะขึ้นภาษีสหรัฐฯ มูลค่าประมาณ 1
แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 63% ของการนำเข้าจากสหรัฐฯ โดยมีสินค้าที่จะไม่ขึ้นภาษี
เช่น ผลิตภัณฑ์แร่และเคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ไฟฟ้า
และอากาศยานและส่วนประกอบ
ทั้งนี้ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า มีข้อเสนอแนะสำหรับผู้ส่งออกไทย ควรจะเร่งขยายการส่งออกสินค้าที่สามารถทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ และทดแทนสินค้าสหรัฐฯ ในจีนให้ได้เพิ่มขึ้น เพื่อช่วยผลักดันการส่งออกในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ และควรจะใช้โอกาสนี้ ในการดึงดูดทุนสหรัฐฯ กรณีที่จะมีการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมายังไทย