เวียดนามเป็นประเทศที่เศรษฐกิจเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีประชากร 90 ล้านคนอยู่ในวัยทำงาน และเกือบครึ่งซึ่งเป็นกลุ่มชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อสูง ตัดสินใจในการจับจ่ายใช้สอยค่อนข้างง่าย คาดว่าคนกลุ่มนี้ จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคนต่อปี (จาก 12 ล้านคนในปี 2557) ดังนั้นช่องทางการทำการค้าในตลาดเวียดนาม จึงมีโอกาสค่อนข้างมาก
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
กงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม รายงานว่า ปี 2560 ตลาดค้าปลีกในเวียดนามมีมูลค่าสูงถึง 1.29 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
(ประมาณ 4 ล้านล้านบาท )เทียบกับประเทศไทยมูลค่าค้าปลีกทั้งประเทศปี 2561
มูลค่ารวม 3.2 ล้านล้านบาท ทั้งคาดว่าภายในปี 2563คาดว่ามูลค่าตลาดค้าปลีกจะสูงถึง 1.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ยอดขายของร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้าคาดว่าจะเติบโตเร็วมากที่สุด
ปี 2560 เวียดนามถูกจัดลำดับเป็นประเทศที่มีศักยภาพในตลาดค้าปลีกลำดับที่
6 ของโลกจาก 30 ประเทศโดยเฉพาะนครโฮจิมินห์เพียงเมืองเดียวคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 24 และจังหวัดในเขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงคิดเป็นร้อยละ
18 ของมูลค่าการค้าปลีกทั้งประเทศ
นอกจากนี้พฤติกรรมการบริโภคและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตสมัยใหม่ของกลุ่มชนชั้นกลาง
รวมถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสังคมเมือง เป็นปัจจัยเร่งให้ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ “Modern Trade” ของเวียดนามขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดและคาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนเป็น
45% ของช่องทางค้าปลีกทั้งหมดในเวียดนามภายในปี 2563
ขณะที่กลุ่มธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ของไทยก็ติด
1 ใน 5 ผู้เล่นหลักในธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ของเวียดนามมีส่วนทำให้มูลค่าส่งออกกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคของไทยไปเวียดนามขยายตัวสูง
ปัจจุบันสินค้าอุปโภคบริโภคของไทยอย่างผลไม้
ขนม และเครื่องใช้ภายในบ้านได้หลั่งไหลเข้ามาในตลาดเวียดนามมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยสินค้าเกษตรและสินค้าจำพวกอาหารของไทยมีวางจำหน่ายทั้งในตลาด ในร้านสะดวกซื้อ หรือซูเปอร์มาร์เก็ต ส่วนเสื้อผ้าและอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้านก็มีวางจำหน่ายในตลาดทั่วประเทศเวียดนามเกือบ
9,000 แห่ง อุปกรณ์อิเล็คโทรนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าของไทยสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดได้ถึง
70% เลยทีเดียว
นอกจากนี้ อาหาร เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์สิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป
และของที่ระลึก ก็เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะตลาดเครื่องดื่มในเวียดนามใหญ่เป็นอันดับ3ของโลกและยังจะเติบโตอย่างต่อเนื่องซึ่งเครื่องดื่มชูกำลังของไทยเช่นกระทิงแดงที่เข้ามาบุกตลาดเป็นเจ้าแรกๆก็ได้รับความนิยมอย่างมาก
หากใครเคยเดินทางไปเวียดนามไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือชนบทจะเห็นสินค้าไทยวางขายใน
ร้านขายของชำ และร้านสะดวกซื้อเต็มไปหมดไม่ว่าน้ำยาซักผ้าและน้ำยาล้างจาน ผลไม้ น้ำมันหอมระเหย
คนเวียดนามบอกว่าน้ำยาล้างจานของไทยดีมาก ไม่มีกลิ่นและไม่ระคายเคือง หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างหม้อหุงข้าวโตชิบาที่ผลิตในไทยในความเห็นของผู้บริโภคเวียดนามก็บอกว่า
ใช้ดีมากๆ
คนเวียดนามต่างก็บอกว่า สินค้าของไทยมีคุณภาพดีกว่าสินค้าจีน
ราคาอาจจะแพงกว่าเล็กน้อย อย่างผลิตภัณฑ์พลาสติกของจีน ไม่ทนทานเหมือนของไทย ผลิตภัณฑ์ของไทยมีการออกแบบที่หลากหลายและราคาถูก
เช่น ถัง กะละมังและไม้แขวนเสื้อ เป็นต้น ขณะที่สินค้าอาหารของไทยเช่น
ข้าว วุ้นเส้น เครื่องเทศบางชนิดและขนม ก็ได้รับความนิยมเช่นกัน
คนเวียดนามบอกว่าสินค้าอาหารของไทยมีรสชาติดีกว่าของเวียดนาม
และบางอย่างก็มีราคาถูกกว่าด้วย
ขณะที่ตัวแทนบริษัทนำเข้าและเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าไทยในเวียดนามเกือบ20ปี บอกว่าเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆที่เป็น “เครื่องหมายการค้าของไทย” เช่น คุกกี้อาร์เซนอล บะหมี่ไวไว วุ้นและกะทิชาวเกาะ เป็นต้น เป็นที่นิยมอย่างมากเนื่องจากราคาเหมาะกับรายได้ของคนเวียดนาม ทำให้ขายดีมาโดยตลอดและได้รับความนิยมจากชาวเวียดนามอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม
นอกเหนือจากคุณภาพสินค้าแล้ว ปัจจัยที่ทำให้สินค้าไทยเป็นที่นิยม ส่วนหนึ่งเนื่องจากผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ของไทยเข้าไปลงทุนห้างสรรพสินค้า
ร้านสะดวกซื้อ เช่น ห้างสรรพสินค้า โรบินสัน ซุปเปอร์มาเก็ต บิ๊ก.ซี ร้านสะดวกซื้อ
B’s mart ซุปเปอร์มาเก็ต MM Megamarket จึงเปิดโอกาสให้สินค้าของไทยเข้ามาเป็นหนึ่งในตัวเลือกในตลาดเวียดนาม
รวมทั้งผู้บริโภคส่วนใหญ่มักจะเลือกซื้อสินค้าไทยมากกว่าสินค้าเวียดนามโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงราคาเป็นตัวตั้ง
เช่น นมวัว เครื่องอุปโภคบริโภค ขนม น้ำดื่ม ยาสีฟัน แปรงสีฟัน เครื่องใช้ไฟฟ้า
และเครื่องแต่งกายที่นำเข้าจากประเทศไทย เพราะภาพลักษณ์ของสินค้าไทยอยู่ในระดับดีมาก
คุณภาพเทียบเท่ากับสินค้าญี่ปุ่นและเกาหลีใต้แต่ราคาที่ถูกกว่ารวมถึงบรรจุภัณฑ์ที่สวยงาม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตราสัญลักษณ์ Made In
Thailand เป็นเครื่องการันตี
นอกจากนี้นักท่องเที่ยวเวียดนามที่มาเที่ยวประเทศไทยจะนิยมบริโภคสินค้าไทย
เมื่อกลับประเทศก็จะซื้อสินค้าติดไม้ติดมือกลับบ้านเป็นจำนวนมาก และบอกกันปากต่อปาก
จึงทำให้เกิดกระแสนิยมสินค้าไทยในหมู่ชาวเวียดนามขึ้น
เศรษฐกิจเวียดนามยังเติบโตต่อเนื่องทุกปี
กลุ่มคนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อสูงขยายตัวขึ้นเรื่อยๆบวกกับกระแสความนิยมสินค้าไทยมาแรงจึงเป็นโอกาสทองของผู้ผลิตสินค้าไทยที่จะเข้าไปในตลาดเวียดนาม