เชื้อไวรัสอู่ฮั่น หรือ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 โรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน จัดอยู่ในตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคซาร์ส (SARS) มีต้นตอมาจากเมืองอู่ฮั่นมณฑลหูเป่ย เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคปอดอักเสบ สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ และยังแพร่กระจายไปอีกหลายเมืองในประเทศจีน ในต่างประเทศ รวมถึงประเทศไทยเองก็ได้รับผลกระทบจากเชื้อไว้รัสชนิดนี้เช่นเดียวกัน โดยผู้ป่วยที่พบในต่างประเทศมีความเชื่อมโยงกับเมืองอู่ฮั่น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
พญ.รพีพรรณ รัตนวงศ์นรา มอร์ด สาขาวิชาโรคติดเชื้อ
ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ระบุว่า
ไวรัสโคโรนา ข้ามสปีชีส์จากค้างคาวมาติดเชื้อในคน
โดยเริ่มระบาดจากประเทศจีนและกระจายไปยังต่างประเทศ ไวรัสโคโรนา
เป็นไวรัสที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ที่มาของชื่อ โคโรนา
คือมีเปลือกหุ้มด้านนอกที่ประกอบด้วย โปรตีนคลุมด้วยกลุ่มคาร์โบไฮเดรทเป็นปุ่มๆ (spikes)
ยื่นออกไปจากอนุภาคไวรัส
ทำให้เมื่อดูด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน จะเห็นเป็นเหมือนมงกุฎ (ภาษาลาติน corona
แปลว่า crown หรือ มงกุฎ) ล้อมรอบนั่นเอง
ที่สำคัญ
สามารถติดเชื้อได้ทั้งในคนและสัตว์หลายชนิด ทั้งสัตว์ปีก
และสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม รวมถึงสัตว์เลื้อยคลานด้วยเช่นกัน
เป็นการผสมสารพันธุกรรมระหว่างไวรัสโคโรนาของค้างคาวกับงูเห่า
แพร่เชื้อจากงูเห่ามายังคน และจากคนไปสู่คนอีกทอดหนึ่ง ซึ่งผู้ติดเชื้อกลุ่มแรก
เป็นคนงานและลูกค้าในตลาดค้าสัตว์ของจีน ที่ขายสัตว์หลายชนิดรวมกัน
ซึ่งรวมถึงงูเห่าด้วย
โดยในช่วงปลายปี
2019
มีรายงานว่าพบผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่ไม่รู้สาเหตุในเมืองอู่ฮั่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
และเมื่อทำการตรวจและวิจัยก็พบว่าไม่ใช่โรคทางเดินหายใจที่เคยรู้จัก
ทางการจีนเลยเข้าขบวนการถอดรหัสพันธุกรรม
ก็พบว่าเป็นไวรัสที่มีหน้าตาเหมือนโคโรนาไวรัส
แต่สายพันธุ์ทางพันธุกรรมไม่ตรงกับสายพันธุ์ที่เคยพบ จึงตั้งชื่อว่าเป็น โคโรนา
ไวรัสสายพันธุ์ใหม่สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้
และเป็นไวรัสที่ลอยตัวอยู่ในอากาศได้นาน การไอและจามเป็นวิธีที่แพร่เชื้อได้เป็นอย่างดี
ในประเทศไทยเอง
ผู้ป่วยรายแรกที่พบนั้นเป็นนักท่องเที่ยวหญิงชาวจีนอายุ 61 ปี จากเมืองอู่ฮั่น
ซึ่งมีอาการไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะและเจ็บคอ สามวันก่อนเดินทางมาที่ประเทศไทย
ต่อมาได้เดินทางมาพร้อมครอบครัวเพื่อท่องเที่ยว เมื่อเดินผ่านเครื่องตรวจจับความร้อนที่สนามบิน
(Thermo scan) จึงพบว่ามีไข้
และถูกส่งตัวไปนอนรักษาที่โรงพยาบาลทันที อีกสองวันต่อมา
ทางโรงพยาบาลสามารถแยกเชื้อโดยวิธีการทางโมเลกุลได้ว่าเป็นเชื้อ
"ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019" จึงรายงานไปที่องค์การอนามัยโลก
และประเทศไทยได้ประกาศว่าเป็นประเทศแรกนอกเหนือจากประเทศจีน
ที่มีผู้ป่วยไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
วิธีสังเกตอาการ
หากได้รับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ผู้ป่วยจะเริ่มแสดงอาการออกมาภายใน 1 วัน ถึง 2 สัปดาห์ หลังจากได้รับเชื้อ โดยอาการเริ่มแรกของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 นั้น ส่วนใหญ่จะเริ่มจากการมีไข้ ไอ เจ็บคอ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หายใจหอบเหนื่อย ถ่ายเหลวท้องเสีย หากผู้ป่วยมีร่างกายไม่แข็งแรงหรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ จะทำให้มีความรุนแรงถึงขั้นวิกฤตและเสียชีวิตได้
วิธีป้องกัน
เบื้องต้นทุกคนสามารถป้องกันตัวเองและคนรอบข้างให้ห่างไกลจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
2019 ได้ดังนี้
-
เลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไอ จาม น้ำมูกไหล เหนื่อยหอบ เจ็บคอ
-
เลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะเมืองอู่ฮั่นที่เป็นรังโรค
และเมืองอื่น ๆ ในประเทศจีนที่มีการระบาด
-
ระวังการสัมผัสพื้นผิวที่ไม่สะอาด และอาจมีเชื้อโรคเกาะอยู่
-
ควรล้างมือให้สม่ำเสมอด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลอย่างน้อย 20 วินาที
-
งดจับตา จมูก ปากขณะที่ไม่ได้ล้างมือ
-
เลี่ยงการใกล้ชิด สัมผัสสัตว์ต่าง ๆ โดยที่ไม่มีการป้องกัน
-
ทานอาหารสุก สะอาด ใช้ช้อนกลาง ไม่ทานอาหารที่ทำจากสัตว์หายาก
-
สำหรับบุคลากรทางการแพทย์หรือผู้ที่ต้องดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
2019 โดยตรง ควรใส่หน้ากากอนามัย หรือใส่แว่นตานิรภัย
เพื่อป้องกันเชื้อในละอองฝอยจากเสมหะหรือสารคัดหลั่งเข้าตา
สุดท้ายขอฝากไว้ว่า อย่าตื่นตระหนกจนเกินไปและอย่าลืมติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่องจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ควรตรวจสอบข้อมูลให้แน่ชัดก่อนจะเชื่อในทันที