การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อประเทศ "จีน" ซึ่งถือเป็นตลาดผลไม้ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของไทย โดยเฉพาะกลุ่มผลไม้สดไทยส่งออกไปจีน ปี 2562 มากกว่า 64,000 ล้านเหรียญสหรัฐต้องสั่นสะเทือน ไม่เพียงเท่านั้นนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวเบอร์ 1 ของไทย ที่นิยมบริโภคผลไม้ไทยก็คาดว่าจะหายไปไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคนในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2563 และถ้าหากสถานการณ์ยังยืดเยื้อไปถึงเดือนมิถุนายน จำนวนนักท่องเที่ยวจะหายไปมากถึงกว่า 4.37 ล้านคน
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คาดว่าจากปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกผัก
ผลไม้สด ในช่วง 3 เดือน (มกราคม-มีนาคม 2563) ให้หดตัว 0.33%
เมื่อเทียบกับมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมดไปจีน หรือคิดเป็นมูลค่า
940 ล้านบาท
แต่หากสถานการณ์ยังยืดเยื้อถึงเดือนมิถุนายน 2563
แน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกผัก ผลไม้ หดตัว 2%
เมื่อเทียบกับมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรไปจีนทั้งหมด หรือคิดเป็นมูลค่า 5,278
ล้านบาท
เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงให้ผลของทุเรียน
และมังคุด ซึ่งกว่า 50% ผลผลิตทุเรียนส่งออกไปยังตลาดจีน
ทำให้เกิดความกังวลว่าสถานการณ์ราคาผลไม้ปีนี้อาจจะลดลงอย่างหนัก
คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ หรือ Fruit
Board ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบแนวทางบริหารจัดการผลไม้ ปี 2563
โดยจะนำข้อมูลการผลิตเพื่อเชื่อมโยงกับตลาดผู้ซื้อ มาบริหารจัดการผลไม้แบบเบ็ดเสร็จ
โดยอาศัยระบบสหกรณ์มาช่วยอย่างรัดกุม ทำแผนเผชิญเหตุกรณีเกิดผลผลิตส่วนเกินในช่วง peak
ที่จะมีขึ้นราวกลางเดือนมีนาคม - เมษายน
โดยโฟกัสไปที่ "ทุเรียน"
ในภาคตะวันออก ซึ่งจะเป็นผลไม้ที่คาดว่าจะกระทบมากที่สุด หากส่งออกไปจีนไม่ได้
จะต้องวางแผนการกระจายผลผลิตทั้งในและต่างประเทศ การเพิ่มมูลค่าผลผลิต เช่น
การแปรรูป การแช่แข็ง รวมถึงประชาสัมพันธ์กระตุ้นการบริโภคในแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ
จนสิ้นสุดฤดูกาล
ในด้านมาตรการด้านการตลาดทางกระทรวงพาณิชย์ โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ประชุมขับเคลื่อนมาตรการช่วยผลไม้ไทยสู้ภัย COVID-19 ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตัวแทนภาคเอกชนจากระบบการค้าส่ง ค้าปลีก แพลตฟอร์ม สายการบิน และสมาคม โลจิสติกส์และธนาคารเพื่อเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ประเมินชัดเจนว่าต้องออกมาตรการ 9 ด้านรองรับผลผลิต ที่จะออกมาประมาณ 3,000,000 ตันเพิ่มขึ้น 10% ให้ทันตั้งแต่เดือนเมษายน
9 มาตรการช่วยส่งออกผลไม้ ประกอบด้วย
1. กรมวิชาการเกษตรต้องให้การรับรองสวนผลไม้ให้ได้มาตรฐาน
GAP
เพื่อให้เกษตรกรสามารถขายผลไม้ออกสู่ตลาด
รวมถึงการจัดหาแรงงานช่วยในการเก็บเกี่ยว
2. ตั้งศูนย์รวบรวมผลไม้ขึ้นที่ จ. จันทบุรี
3. วางระบบการกระจายผลไม้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
โดยประสานงานร่วมกับสมาคมตลาดกลางที่มีสมาชิก 20 แห่งทั่วประเทศ
ให้ช่วยดูดซับผลผลิตผลไม้ 60-70% และมีโมเดิร์นเทรดต่างๆ รับหน้าที่กระจายสินค้า
ขณะที่ผู้ประกอบการสายการบิน 6 สายการบิน คือ แอร์เอเชีย ไทยสมายล์ บางกอกแอร์เวย์
นกแอร์ ไลออนแอร์ และการบินไทย จะให้บริการผู้โดยสารสามารถหิ้วผลไม้ขึ้นขึ้นเครื่องฟรี
คนละ 20 กิโลกรัม
4. การกระจายผลไม้ด้วยระบบแพลตฟอร์มออนไลน์
โดยอาศัยความร่วมกับ Post
Mart ของไปรษณีย์ไทย ให้บริการในการรับออเดอร์ซื้อผลไม้ และไปรษณีย์ไทยช่วยกระจายผลไม้
ไปยังผู้บริโภค นอกจากนี้ยังมีลาซาด้า ช็อปปี้ จตุจักรมอล์ ไทยเทรดดอทคอม เป็นต้น
5. การจัดทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขายในประเทศร่วมกับภาคเอกชน
และโมเดิร์นเทรด
และมาตรการส่งเสริมการขายในต่างประเทศ ทั้งการจัดโรดโชว์ เช่น
เทศกาลผลไม้ในต่างประเทศ และกิจกรรมนำคณะผู้นำเข้ามาร่วมการจับคู่ธุรกิจด้วย
6. การแก้ไขปัญหาสภาพคล่อง ด้วยการชดเชยดอกเบี้ย
3% ให้กับผู้ส่งออก สหกรณ์การเกษตร ที่มาช่วยรวบรวมรับซื้อผลไม้ในประเทศ
ด้วยวงเงิน 1,000 ล้านบาท
7. การแก้ปัญหาล้งรับซื้อผลไม้กดราคารับซื้อ
ใช้กฎหมายมาดูแลสร้างความเป็นธรรมการทำเกษตรพันธสัญญา รวมถึงการแก้ไขปัญหาเรื่องการตรวจสอบคุณภาพผลไม้ส่งออกเพื่อลดความซ้ำซ้อน
8. ระบบโลจิสติกส์
ขอความร่วมมือให้การบินไทยเข้ามาช่วยเสริมบริการคาร์โก้ เพื่อให้เกิดสะดวกรวมถึงการขนส่งทางบกภายในประเทศด้วย
9.
กระทรวงเกษตรจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังผลกระทบจากสินค้าการเกษตรที่เกิดจาก COVID-19 ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถให้ข้อมูลและขอความช่วยเหลือห้องเรียนได้ที่ www.nabc.go.th
ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
อย่างไรก็ตาม ยังเหลือเวลาอีก 1 เดือนหลังจากนี้ ชาวสวนยังต้องศึกษากฎระเบียบการใช้มาตรการที่ภาครัฐกำหนดขึ้น ให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติ และเตรียมพร้อมมาตรการอื่น เช่น การส่งเสริมการแปรรูปผลไม้ เพื่อสร้างมูลค่า และเพิ่มอายุการเก็บรักษาให้ยาวนานขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นทางออกอีกทางที่ช่วยได้