Bio-convergence โอกาสสร้าง S-Curve ใหม่ให้ SME เกษตร-อาหาร
คุณกำลังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง ต้นทุนที่สูงขึ้น หรือความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอยู่หรือเปล่า?
เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การพึ่งพาวิธีเดิม ๆ ในภาคเกษตรและอาหารจึงเริ่มไม่เพียงพออีกต่อไป ทั้งความผันผวนของสภาพอากาศ ต้นทุนวัตถุดิบที่ไม่แน่นอน และความต้องการสินค้าเพื่อสุขภาพที่เพิ่มขึ้น ล้วนทำให้ SME ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว
ในช่วงเวลาที่ธุรกิจต่างมองหาทางรอด “Bio-convergence” เป็นคำที่ถูกพูดถึงมากขึ้นในวงการเทคโนโลยี โดยเฉพาะในธุรกิจ Agri-Tech ซึ่งเป็นการหลอมรวมชีวภาพ วิศวกรรม และดิจิทัลเพื่อสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์อนาคต ที่สำคัญคือ SME ไม่จำเป็นต้องมีห้องแล็บหรือทีมนักวิจัยของตัวเองก็สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ได้ ผ่านกลยุทธ์ที่เรียกว่า R&D Partnership
บทความนี้จะพาคุณไปค้นพบโอกาสใหม่ ๆ ใน Smart Farming, Functional Food และแนวทางจับมือกับสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย หรือสตาร์ตอัปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อสร้าง S-curve ใหม่ให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

Bio-convergence คืออะไร? นิยามฉบับเข้าใจง่ายสำหรับ SME
Bio-convergence คือ การรวมเอาชีววิทยา วิศวกรรม วัสดุศาสตร์ และเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นระบบนวัตกรรมใหม่ที่สร้างผลลัพธ์ ซึ่งเทคโนโลยีเพียงแขนงเดียวไม่สามารถทำได้
ตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น การพัฒนาพันธุ์พืชที่ใช้ข้อมูลพันธุกรรมร่วมกับ AI เพื่อคัดสายพันธุ์ที่เหมาะกับสภาพอากาศเฉพาะพื้นที่ หรือการใช้วัสดุศาสตร์ผสมผสานกับเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อทำบรรจุภัณฑ์อาหารที่ตรวจจับความสดได้
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านชีวภาพหรือ AI เพราะคุณสามารถร่วมมือกับนักวิจัยและสตาร์ตอัปเพื่อใช้เทคโนโลยีเหล่านี้มาต่อยอดสินค้าและกระบวนการผลิตได้โดยตรง
ผลลัพธ์ของ Bio-convergence ในการสร้างนวัตกรรมที่ก้าวกระโดด
ผลลัพธ์ของ Bio-convergence คือความสามารถในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนกว่าเดิมหลายเท่า และนำไปสู่การสร้างผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการที่ข้ามเส้นความเป็นไปได้แบบเดิม ไม่ว่าจะเป็นการสร้างอาหารฟังก์ชัน (Functional Food) ที่ออกแบบเฉพาะบุคคล หรือฟาร์มที่ปรับสภาพแวดล้อมได้เองอัตโนมัติ โดยมีการคาดการณ์ว่าเทคโนโลยีแบบสหวิทยาการนี้จะมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจเกษตรและอาหารระดับโลกในอีกหลายปีข้างหน้า เช่น
พืชที่ทนแล้งมากขึ้นผ่านการปรับสายพันธุ์ด้วย AI ทำให้ลดการสูญเสียช่วงแล้ง
โรงเรือนเพาะเห็ดที่ควบคุมสภาพแวดล้อมได้อัตโนมัติ ทำให้ได้ผลผลิตสม่ำเสมอ แม้สภาพอากาศแปรปรวน
โปรตีนใหม่จากจุลินทรีย์ที่ผลิตได้โดยใช้พื้นที่เพียงเล็กน้อย
บรรจุภัณฑ์ชีวภาพที่ตรวจพบการปนเปื้อนหรือความสดของอาหารได้ทันที

ทำไม Bio-convergence ถึงเป็น S-curve ใหม่ของอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร?
อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารทั่วโลกกำลังเข้าสู่เปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ ทั้งปัญหา สภาพอากาศ ความต้องการอาหาร การขาดแคลนแรงงาน และกระแสสุขภาพ ล้วนกระตุ้นให้ธุรกิจต้องมองหาเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มผลผลิตและสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าสูงกว่าเดิม ซึ่ง Bio-convergence สามารถตอบโจทย์ทุกประเด็นในคราวเดียว จึงถูกยกให้เป็น S-curve ที่ทรงพลังที่สุดในยุคถัดไปของ SME
1. เพิ่มผลผลิตและความแม่นยำ
Bio-convergence มีการใช้ข้อมูลทางชีววิทยามาร่วมวิเคราะห์เพื่อเพิ่มความแม่นยำของผลลัพธ์ เช่น การใช้เซนเซอร์ชีวภาพวิเคราะห์โรคพืช ทำให้สามารถป้องกันการระบาดได้เร็ว หรือการใช้ AI วิเคราะห์ดินเพื่อกำหนดสูตรปุ๋ยชีวภาพเฉพาะพื้นที่ ช่วยให้ฟาร์มสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีผลผลิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จำนวนแรงงานลดลง
2. สร้างแหล่งโปรตีนทางเลือกใหม่
ตลาดโปรตีนทางเลือกขยายตัวอย่างรวดเร็วทั่วโลก ความท้าทายของ SME จึงเป็นการทำให้รสชาติ เนื้อสัมผัส และคุณประโยชน์ตอบโจทย์ผู้บริโภคให้ได้ ซึ่ง Bio-convergence จะเข้ามาช่วยให้การพัฒนาโปรตีนจากพืช แมลง จุลินทรีย์ หรือแม้แต่โปรตีนที่สร้างจากเซลล์เป็นไปได้ง่ายและแม่นยำยิ่งขึ้น เช่น การใช้วิทยาศาสตร์การหมักร่วมกับการออกแบบโมเลกุล เพื่อปรับกลิ่นของโปรตีนจิ้งหรีด หรือการใช้ข้อมูลพันธุกรรมเพื่อคัดเลือกพืชที่เหมาะกับการสกัดโปรตีน ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง และใกล้เคียงรสชาติอาหารจริงมากขึ้น
3. ยืดอายุและเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ
ผู้บริโภคยุคปัจจุบันไม่ได้มองหาแค่อาหารที่อร่อยและปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังต้องการอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของตนเอง Bio-convergence จึงเข้ามาช่วยออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ทั้งดีต่อร่างกายและมีอายุการเก็บที่ยาวกว่าเดิมโดยไม่ต้องใช้สารกันเสีย เช่น บรรจุภัณฑ์ชีวภาพที่สามารถบอกความสดของอาหารได้ผ่านการเปลี่ยนสีของสารชีวภาพ หรืออาหารเสริม Personalized ที่วิเคราะห์จากข้อมูลไมโครไบโอมของผู้บริโภค ส่งผลให้ SME สามารถสร้างอาหารแห่งอนาคตที่ขายได้ในราคาสูงขึ้นและมีเอกลักษณ์มากขึ้น
ไขกลยุทธ์ SME ทำไม “Partner” ถึงดีกว่า “Build” ในวงการ Bio-convergence
การจะเข้าถึง Bio-convergence ต้องเริ่มจากการเลือกพันธมิตรที่ใช่ เพราะนวัตกรรมด้านชีวภาพ-ดิจิทัล เป็นโจทย์ที่ต้องอาศัยทั้งงานวิจัย ข้อมูล และความเชี่ยวชาญร่วมกัน SME ที่จับมือกับมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย หรือธุรกิจ Agri-Tech มักสามารถพัฒนาโครงการได้เร็วกว่า ลงทุนน้อยกว่า และมีโอกาสสำเร็จสูงกว่า
ความท้าทายในการสร้างแล็บเอง
การลงทุนด้านชีวภาพต้องใช้เงินลงทุนสูงและต้องมีนักวิจัยเฉพาะทาง การสร้างแล็บที่ได้มาตรฐานจึงต้องใช้เวลาและงบประมาณจำนวนมาก ทั้งอุปกรณ์ เครื่องมือ และขั้นตอนด้านความปลอดภัย ซึ่ง SME ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถรับความเสี่ยงตรงนี้ได้ การพัฒนาเทคโนโลยีด้วยตัวเองจึงมักล่าช้าและไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร
พลังของ Ecosystem
ประเทศไทยมีเครือข่ายมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยที่เข้มแข็ง รวมถึงธุรกิจ Agri-Tech และ Food-Tech ที่พร้อมร่วมมือกับ SME ทำให้ผู้ประกอบการไม่จำเป็นต้องสร้าง R&D เอง แต่สามารถเข้าถึงองค์ความรู้ เทคโนโลยี และบุคลากรคุณภาพได้ทันที ช่วยลดต้นทุน เพิ่มความเร็ว และลดความผิดพลาดในการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างเห็นได้ชัด

4 ขั้นตอนหาพาร์ตเนอร์ R&D ธุรกิจต้องรู้อะไรบ้างก่อนเริ่ม?
เมื่อ SME ตัดสินใจเดินหน้าใช้ Bio-convergence คำถามถัดมาคือ จะเริ่มต้นอย่างไรให้ได้ผลจริง? เพราะถึงแม้จะมีเทคโนโลยีพร้อมใช้มากมาย แต่สิ่งที่กำหนดความสำเร็จคือความสามารถในการจัดกระบวนการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ และการวางโครงสร้างให้ราบรื่นตั้งแต่ต้น
ขั้นตอนที่ 1: ระบุโจทย์ธุรกิจ
SME ควรเริ่มจากการทำความเข้าใจปัญหาที่ต้องการแก้ไข เพราะโจทย์ที่ชัดจะช่วยเลือกเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญได้ตรงจุด เช่น ต้องการเพิ่มผลผลิต ต้องการลดต้นทุน ต้องกการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือการเข้าสู่ตลาดสุขภาพ การเขียน Pain Point ให้ชัดเจนจะช่วยให้โครงการ R&D มีเป้าหมายและสามารถวัดผลได้จริง
ขั้นตอนที่ 2: ค้นหาผู้เชี่ยวชาญ
เมื่อมีโจทย์แล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการหาพาร์ตเนอร์ที่ใช่ โดย SME สามารถเริ่มจากเว็บไซต์ของสถาบันวิจัย ฐานข้อมูลสตาร์ตอัป หรือรัฐที่สนับสนุนธุรกิจ Agri-Tech นอกจากนี้ การเข้าร่วมงานแสดงเทคโนโลยียังช่วยเปิดโอกาสในการพบทีมที่มีผลงานตรงกับปัญหาที่ต้องการแก้ไข ไม่ต้องมองหาทีมใหญ่ แต่ต้องมองหาทีมที่แก้ปัญหาได้จริง
ขั้นตอนที่ 3: สร้างข้อเสนอร่วม
หลังจากได้พาร์ตเนอร์แล้ว สิ่งสำคัญคือการออกแบบโครงการร่วมกัน โดยต้องกำหนดวัตถุประสงค์ ระยะเวลา ทรัพยากรที่ใช้ วิธีทดลอง และการแบ่งปันผลประโยชน์ให้ชัดเจน การโค้ดไซน์ร่วมกันจะทำให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจเป้าหมายเดียวกันและลดความคลาดเคลื่อนระหว่างการทำงานได้มาก
ขั้นตอนที่ 4: บริหารความร่วมมือ
การร่วมมือที่ประสบความสำเร็จต้องมีการติดตามผลและสื่อสารสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนด KPI ของโครงการ การทบทวนผลการทดลอง และการบริหาร IP อย่างรัดกุมเป็นสิ่งจำเป็น รวมถึงต้องเตรียมแผน Scale-Up หากเทคโนโลยีสามารถไปต่อในเชิงธุรกิจได้จริง

Case Study: ตัวอย่าง SME ไทยที่ใช้ Partnership สร้างนวัตกรรม Agri-Food
ตัวอย่างต่อไปนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า SME ไม่ต้องมีแล็บของตัวเองก็สร้างนวัตกรรมได้ หากรู้วิธีจับมือกับผู้เชี่ยวชาญให้เป็น
กรณีศึกษา: ฟาร์มเห็ดอัจฉริยะ (Smart Mushroom Farm)
ฟาร์มเห็ด A ประสบปัญหาเดิม ๆ ที่ฟาร์มจำนวนมากเจอเหมือนกัน คือ ผลผลิตเห็ดไม่สม่ำเสมอ ขึ้นกับประสบการณ์แรงงานและสภาพอากาศภายนอก แม้จะใช้โรงเรือนแล้ว แต่การควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และระดับ CO₂ ยังทำได้แบบ “กะจากความรู้สึก” มากกว่าข้อมูลจริง ทำให้ของเสียสูง และคาดการณ์ปริมาณผลผลิตล่วงหน้าได้ยาก จึงตัดสินใจจับมือกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย B โดยนิยามโจทย์ให้ชัดว่า ต้องการเปลี่ยนโรงเรือนจากระบบพึ่งคนเป็นระบบพึ่งข้อมูล (Data-driven Farm)
ทีมนักวิจัยจึงออกแบบระบบเซนเซอร์ตรวจวัดอุณหภูมิ ความชื้น และ CO₂ ในโรงเรือนแบบเรียลไทม์ แล้วเชื่อมกับระบบควบคุมอัตโนมัติที่สั่งงานพัดลม หมอกน้ำ หรือระบบระบายอากาศตามค่าที่ตั้งไว้ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ผลผลิตเพิ่ม 20% และของเสียลดลง 15%
ในมุมของ Bio-convergence เคสนี้คือการนำความเข้าใจชีวภาพของเห็ดผสานเข้ากับระบบวิศวกรรม IoT และ Data จนกลายเป็นธุรกิจ Agri-Tech ขนาดเล็กที่สร้างผลตอบแทนจริง โดยที่ไม่ต้องลงทุนสร้างแล็บหรือทีม R&D ของตัวเอง แต่ใช้โมเดล Co-development กับมหาวิทยาลัยแทน
กรณีศึกษา: โปรตีนทางเลือกจากจิ้งหรีด (Cricket Protein)
สตาร์ตอัปอาหาร C ต้องการผลิตโปรตีนทางเลือกจากจิ้งหรีด แต่ปัญหาคือ จะทำอย่างไรให้ผู้บริโภครู้สึกว่าโปรตีนจิ้งหรีดกินได้จริง โดยไม่รู้สึกแปลกหรือกลัว?
นี่คือ Pain Point เชิงตลาดที่แบรนด์โปรตีนทางเลือกหลายแบรนด์เจอเหมือนกัน คือคนสนใจแนวคิด แต่ติดเรื่องรสชาติ กลิ่น และภาพจำ
สตาร์ตอัปอาหาร C เลือกจับมือกับสถาบันวิจัยอาหาร D เพื่อเอาโจทย์ตลาดไปให้ห้องแล็บช่วยแก้ในเชิงวิทยาศาสตร์อาหาร ว่า
ต้องปรับกระบวนการล้างหรือการเตรียมวัตถุดิบอย่างไรเพื่อลดสารที่ก่อให้เกิดกลิ่น
ใช้เทคโนโลยีอบแห้ง หรือการทำ Encapsulation แบบไหนเพื่อลดกลิ่น–รสที่ไม่พึงประสงค์
จะออกแบบโครงสร้างผงโปรตีนอย่างไรให้เข้ากับสูตรขนมสุขภาพ โดยไม่ทำให้รสสัมผัสเปลี่ยน
ผลลัพธ์ที่ได้คือ ผงโปรตีนจิ้งหรีดที่กลิ่นเบาลง รสชาติเป็นกลางขึ้น และมีเนื้อสัมผัสผสมง่าย สามารถนำไปใช้เป็นส่วนผสมในกราโนลา บาร์โปรตีน หรือขนมสุขภาพได้โดยผู้บริโภคไม่รู้สึกต่อต้านมากเหมือนก่อน แบรนด์จึงสามารถขยับจากสินค้าเฉพาะกลุ่มสายกรีนจัด ๆ ไปสู่ตลาด Mass ที่รักสุขภาพ พร้อมทั้งสามารถตั้งราคาในระดับพรีเมียมได้ เพราะขายทั้งคุณค่าทางโภชนาการและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนมีสตอรีเชิงนวัตกรรมและความยั่งยืนที่ใช้สื่อสารกับตลาดต่างประเทศได้ง่ายขึ้น
บทสรุป: Bio-convergence คือโอกาสที่ SME เข้าถึงได้ผ่านการร่วมมือ
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีฐานเกษตรเข้มแข็งและมีวัตถุดิบหลากหลาย ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการนำ Bio-convergence มาสร้าง S-curve ใหม่ให้ธุรกิจเกษตร–อาหาร ทั้งนี้ SME ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของเทคโนโลยีเอง แต่สามารถเป็น “ผู้ใช้” และ “ผู้ต่อยอด” ผ่านความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และธุรกิจ Agri-Tech ที่มีความพร้อมอยู่แล้ว
การลงทุนผ่าน Partnership จะช่วยให้ SME สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีทันสมัย เพิ่มความเร็วในการพัฒนานวัตกรรม และลดความเสี่ยงจากการลงทุนหนักด้วยตัวเอง ซึ่งทั้งหมดนี้คือกุญแจที่ทำให้ธุรกิจพร้อมโตอย่างยั่งยืนและแข็งแรงในโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ข้อมูลอ้างอิง
The Israeli Bioconvergence Revolution: Food for Thought. สืบค้นเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2568 จาก https://blogs.timesofisrael.com/the-israeli-bioconvergence-revolution-food-for-thought/.
SynBio and Bio Convergence: Israeli Tech Transforming Global Innovation. สืบค้นเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2568 จาก https://startupnationcentral.org/hub/opinions/synbio-and-bio-convergence-israeli-tech/.
Europe’s Bio Revolution: Biological innovations for complex problems. สืบค้นเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2568 จาก https://www.mckinsey.com/industries/life-sciences/our-insights/europes-bio-revolution-biological-innovations-for-complex-problems.
FoodTech Wave 3.0: The Ag Biotech Revolution Transforming Our Food Future. สืบค้นเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2568 จาก https://forwardfooding.com/blog/foodtech-trends-and-insights/agbiotech-foodtech-wave-3/.
Assessing Dual-Use Issues at the AIxBio Convergence. สืบค้นเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2568 จาก https://councilonstrategicrisks.org/2025/07/31/the-aixbio-landscape/.

