นับเป็นประเด็นน่ากังวลเมื่อองค์การระหว่างประเทศ
ทั้งองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO), องค์การอนามัยโลก
(WHO) และองค์การการค้าโลก (WTO) ได้ออกมาเตือนว่าในบางพื้นที่ในโลกอาจประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร
หากยังล้มเหลวในการควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะนี้รัฐบาลหลายประเทศพากันประกาศขยายการบังคับใช้มาตรการปิดเมือง และการรักษาระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing ออกไปอีก ส่งผลให้ประชาชนเกิดความไม่มั่นใจจนต้องออกไปซื้ออาหารมากักตุน
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ในส่วนของประเทศไทย นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
(สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า สถานการณ์ภัยแล้งที่รุนแรง ผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19
ส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจการเกษตรช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 (มกราคม - มีนาคม 2563) หดตัว
4.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ของปี 2562 โดยสาขาพืช หดตัว 7.3%
สาขาประมง หดตัว 2.2%
ทั้งนี้ สศก. ประเมินว่า
ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2563 คาดว่ามีโอกาสจะขยายตัว 0.3% (อยู่ในช่วงติดลบ 0.2%
ถึง 0.8%) โดยสาขาปศุสัตว์ สาขาประมง สาขาบริการทางการเกษตร และสาขาป่าไม้
ยังขยายตัวได้ มีการบริหารจัดการทั้งในด้านการผลิตและการตลาดที่ดี
สำหรับสาขาพืชมีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยคาดว่าจะสามารถทำการเพาะปลูกได้ตามฤถูกาลปกติ
จากการหดตัวลงมากในช่วงไตรมาส 1
ทำให้สาขาพืชในภาพรวมยังมีแนวโน้มหดตัว เนื่องจากผลผลิตพืชสำคัญในปี 2563
มีแนวโน้มลดลงโดยเฉพาะข้าว อ้อยโรงงาน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และสับปะรดโรงงาน
อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยบวกที่ส่งผลให้ภาคเกษตรขยายตัว
คือความต้องการสินค้าเกษตรมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น หลังจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19
ที่คาดว่าเมื่อสถานการณ์คลี่คลายจะทำให้มีความต้องการสินค้าอาหารเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารพร้อมรับประทาน
(Ready to Eat) เนื่องจากสะดวกในการบริโภคและสามารถเก็บรักษาได้นาน
นอกจากนี้คาดว่าจะมีความต้องการมันเส้นเพิ่มมากขึ้น เพื่อนำไปเป็นวัตถุดิบผลิตแอลกอฮอล์ 75% และใช้ผสมทำเจลล้างมือเพื่อฆ่าเชื้อโรค รวมถึงถุงมือทางการแพทย์ ถุงมือยาง อาหารสุขภาพ หรือผลิตภัณฑ์สมุนไพรเป็นต้น ขณะที่ยังมีปัจจัยลบจากสถานการณ์ COVID-19 เช่นกัน
จากประเด็นดังกล่าวส่งผลให้
"ราคาสินค้าเกษตร" มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น อาทิ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
ระบุว่าราคาข้าวเปลือกเจ้าที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยตันละ 10,200-11,200 บาท
คิดเป็นราคาข้าวสารตันละ 17,500 บาท ส่วนราคาส่งออกข้าวตันละ 575-580
ดอลลาร์สหรัฐฯ สูงสุดรอบ 10 ปี
เพราะไม่เพียงผลผลิตไทยลดลง
แต่ประเทศคู่แข่งขันมีข้อจำกัดในการส่งออกข้าวในช่วงโควิด-19 ระบาด เช่น
อินเดียมีการล็อกดาวน์ ทำให้มีปัญหาในการขนส่งสินค้า เวียดนามจำกัดการส่งออกเหลือ
4 แสนตันต่อเดือน (เม.ย.-พ.ค.) กัมพูชาไม่ให้ส่งออกข้าวขาวให้ส่งออกเฉพาะข้าวหอม
เมียนมาไม่ออกใบอนุญาตส่งออกข้าว
ขณะที่สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป ระบุว่ากลุ่มผัก
อาทิข้าวโพดหวานผลผลิตจะลดลง 30-50% ราคารับซื้อในช่วงนี้อยู่ที่ 5.20 บาทต่อกก. จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว
4.80 บาทต่อกก. ส่วนหน่อไม้ฝรั่งที่มีช่วงเพาะปลูกเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ส่วนราคาผักที่ใช้ผลิตอาหารแปรรูปส่งออก
เช่น กระเทียม ขิง ตะไคร้ ราคาปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 1-2 เท่า ขณะที่ผลไม้เช่น เงาะ
ขนุน ลูกตาล คาดผลผลิตก็จะลดลง แต่ทุเรียนและมะม่วงจะได้รับผลกระทบอย่างมาก จากการที่ตลาดชะลอการสั่งซื้อผลจากโควิด-19
กระทบต่อระบบโลจิสติกส์
ดังนั้นจึงประมาณการณ์ได้ว่า ปีนี้ถือเป็นปีเสี่ยงสำหรับสินค้าเกษตรของไทย เพราะถึงแม้ว่าทิศทางความต้องการสำรองอาหารโลกจะเพิ่มขึ้น แนวโน้มราคาสินค้าเกษตรหลายตัวปรับสูงขึ้น แต่ก็ต้องเผชิญกับปัญหาภัยแล้งรุนแรง กระทบผลผลิตเสียหาย อาจจะไม่ได้รับอานิสงค์จากภาวะตลาดที่เติบโตขึ้นครั้งนี้