ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่จังหวัดระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก
(อีอีซี) ประกอบไปด้วย 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง กลับมามีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ
เมื่อ“กลุ่มซีพี”ได้รับการสัมปทานโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา)
คิดมูลค่าการลงทุนกว่า 224,544 ล้านบาท ระยะเวลา
50 ปี
โดยมีกำหนดเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการภายในปี
2566 ซึ่งไม่เพียงแต่พลิกโฉมเศรษฐกิจไทยทุกมิติแล้ว ยังผลักดันที่ดินตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าความเร็วสูงราคาพุ่งกระฉูดตามไปด้วย
โดยที่ดินเป็นทำเลทองที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ราคาผันผวนเกิดการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด
รองลงมาเป็นพื้นที่ระยองและฉะเชิงเทรา
อีกทั้งยังได้อานิสงส์จากกรมโยธาธิการและผังเมืองคลอดผังเมืองอีอีซีออกมาเป็นที่เรียบร้อย โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบ ครม.ให้ประกาศใช้ประโยชน์ที่ดินอีอีซี เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนในปี 2565 และสนับสนุนการพัฒนาเมืองถึงปี 2580 ส่งผลต่อราคาที่ดินอีอีซีพุ่งติดจรวดหลายเท่าตัว
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ผลจากการที่กรมโยธาฯ
จัดแผนการใช้ประโยชน์บนที่ดินอีอีซีอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ชาวบ้านนับแสนรายกลายเป็นเศรษฐีภายในพริบตา
เพราะจากที่เคยซื้อขายที่ดินกันตารางวาละ 12,000
บาท ขยับขึ้นไปเป็น 40,000-50,000 บาทต่อตารางวา
ถึงแม้ว่าที่ดินจะมีราคาแพงแต่กลุ่มนายทุนพร้อมที่จะควักเงินจ่ายซื้อที่ดินเพื่อครอบครองเป็นเจ้าของ
เพื่อนำไปพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สร้างเมืองใหม่อัจฉริยะ เป็นที่อยู่อาศัย
หรือพัฒนารูปแบบศูนย์เศรษฐกิจ
สำหรับแผนผังอีอีซีจะแบ่งเป็นกรอบใหญ่ในการใช้ประโยชน์ที่ดิน
6 ด้านด้วยกัน ประกอบด้วย
1. แผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน
2. แผนผังระบบสาธารณูปโภค
ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร,ระบบการควบคุมและขจัดมลภาวะ
3. แผนผังระบบคมนาคมและขนส่ง
4. แผนผังระบบการ
ตั้งถิ่นฐานและภูมิสังคม
5. แผนผังระบบบริหารจัดการน้ำ
6. แผนผังระบบป้องกันอุบัติภัย
ที่ดินชลบุรีรับอานิสงส์พุ่งไร่ละ 80-100 ล้านบาท
กรมธนารักษ์ได้ทำการประเมินทุนทรัพย์ที่ดินในปี
2559-2562 พบว่าราคาที่ดิน อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ถนนเลียบหาดพัทยา, ถนนพัทยาสาย 1 ราคาตารางวาละ 200,000 บาท หรือ ไร่ละ
80 ล้านบาท ,ถนนพัทยาใต้ ราคาตารางวาละ 17,000-180,000 บาท
หรือไร่ละ 6-72 ล้านบาท, ถนนเลียบหาดนาจอมเทียน (จอมเทียนสาย
1) ตารางวาละ 65,000-85,000 บาท ไร่ละ 26-34 ล้านบาท,
อำเภอเมือง ถนนสุขุมวิท ตารางวาละ 7,000-90,000 บาท ไร่ละ 2.8-36 ล้านบาท ,ถนนพัทยาสาย 2 ตารางวาละ 20,500-90,000 บาท 8.2-36 ล้านบาท, อำเภอศรีราชา ถนนเจิมจอมพล ตารางวาละ 15,000-70,000 บาท หรือตกละไร่ละ
6-28 ล้านบาท
ขณะที่ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง
ถนนตากสินมหาราช ราคาประเมินตารางวาละ 35,000-60,000 บาท หรือไร่ละ 14-24 ล้านบาท, ถนนจันทอุดม ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3138
(ระยอง-บ้านค่าย) ตารางวาละ 40,000-50,000 บาท ไร่ละ 16-20 ล้านบาท, ถนนหลักเมือง ตารางวาละ 40,000-43,000 บาท ไร่ละ 16-17 ล้านบาท, ถนนราชภักดี ตารางวาละ 40,000-43,000 บาท ไร่ละ 16-17 ล้านบาท, ถนนราชวิมล 1 ตารางวาละ 35,000-40,000 บาท ไร่ละ 14-16 ล้านบาท, ถนนนพจกร ตารางวาละ 32,000-40,000 บาท ไร่ละ 12.8-16 ล้านบาท , ถนนภักดีบริรักษ์ ตารางวาละ 20,000-35,000 บาท ไร่ละ 8-14 ล้านบาท
ส่วนอำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา
ถนนมหาจักรพรรดิ์ ตารางวาละ 45,000
บาท ไร่ละ 18 ล้านบาท, ถนนชุมพล ตารางวาละ 40,000 บาท ไร่ละ 16 ล้านบาท ,ถนนมรุพงษ์ ตารางวาละ 20,000-40,000 บาท ไร่ละ 8-16 ล้านบาท, ถนนเทพคุณากร ตารางวาละ 10,000-40,000 บาท ไร่ละ 4-16 ล้านบาท, อำเภอบางคล้า
ถนนระเบียบกิจอนุสรณ์ ตารางวาละ 22,500 บาท ไร่ละ 9 ล้านบาท, ถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3121 ตารางวาละ 6,000-17,500 บาท ไร่ละ 2.4-7 ล้านบาท, ถนนราษฎรอุทิศ
ตารางวาละ 2,500-10,500 บาท ไร่ละ
1-4.2 ล้านบาท, อำเภอบางปะกง ถนนแผ่นดินหมายเลข 314 ตารางวาละ
8,000 บาท ไร่ละ 3.2 ล้านบาท,
ถนนแผ่นดินหมายเลข 3 ตารางวาละ 6,000-8,000 บาท ไร่ละ 2.4-3.2 ล้านบาท, ถนนสุขุมวิท
ตารางวาละ 6,000-8,000 บาท ไร่ละ
2.4-3.2 ล้านบาท
กลุ่มทุนไทย-ต่างชาติแห่กว้านซื้อที่ดินรองรับนักลงทุน
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา น.ส.สมจิณณ์ พิลึก
ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) บอกว่า บรรยากาศการซื้อขายที่ดินรอบนอกอีอีซี
เต็มไปด้วยความคึกคัก ไม่เพียงแต่กลุ่มทุนรายใหญ่ของไทย เช่น กลุ่มซีพี
มีการกว้านซื้อที่ดินกักตุนไว้ไม่ต่ำกว่า 20,000
ไร่ เช่นเดียวกับ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN และบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ต่างก็กว้านซื้อที่ดินกักตุนไว้รองรับกลุ่มนักลงทุนต่างชาตินับพันไร่
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มทุนจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้
เกาะฮ่องกง และจีน ที่ต้องการซื้อที่ดินหลายหมื่นไร่
โดยเฉพาะกลุ่มทุนจีนภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลจีน ก็มีความต้องการเป็นเจ้าของที่ดินแปลงใหญ่จำนวน
1 หมื่นไร่ เพื่อนำไปพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ป้อนผู้ประกอบการชาติเดียวกัน ใน 10
กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก และมีแผนตั้งเมืองใหม่อัจฉริยะรองรับกลุ่มนักลงทุนทั่วโลกไปในตัว
“กลุ่มนักลงทุนจีน มีความประสงค์ที่ต้องการเป็นเจ้าของที่ดินในอีอีซีมากกว่าจะเข้ามาซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม
ซึ่งในส่วนนี้คงไม่สามารถดำเนินการได้เอง
เนื่องจากติดข้อกฎหมายที่ต่างชาติไม่สามารถจัดซื้อที่ดินได้เอง 100%
หากจีนต้องการที่ดินก็จะต้องเป็นการร่วมลงทุนร่วมกับทางฝ่ายไทย”
ที่สำคัญในปี 2563
มีผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรม แสดงความสนใจที่จะตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่อีอีซี
อีกจำนวน 18 โครงการ คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 35,000
ไร่
แม้ว่าโครงการอีอีซีเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ปี แต่กลายเป็นทำเลทองของถนนนักลงทุนทั้งชาวไทยและทั่วโลก ซึ่งโครงการนี้จะก่อให้เกิดการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมจำนวนมาก และก่อมูลค่าทางด้านเศรษฐกิจมหาศาลต่อปี จากเดิมภาคตะวันออกเป็นเพียงแค่แหล่งที่ตั้งโรงงาน และอยู่ใกล้เส้นทางส่งออกทางเรือเท่านั้น แต่ทุกวันนี้กำลังเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
ทั้งนี้นับเป็นสิ่งที่ยากมากที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จะไปแข่งขันกับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ทั้งไทยและต่างชาติในการจับจองทำเลทองต่างๆ แต่สามารถใช้ประโยชน์จากย่านทำเลทองดังกล่าวในทางอ้อม อาทิ การเช่าพื้นที่เพื่อเปิดร้านค้า แฟรนไชส์ หรือแม้แต่การด้านการลงทุนตรงต่างชาติ ภายใต้การเข้าในลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดอีอีซี จะเกิดเป็นประชากรแฝงที่เป็นนักลงทุนต่างชาติ จะก่อให้เกิดดีมานด์มากมาย ทั้งสาธารณูปโภค ที่พักอาศัย และธุรกิจบันเทิง ที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถนำไปต่อยอดสร้างธุรกิจได้