ข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษปี 2560 ปริมาณขยะทั่วประเทศอยู่ที่
27.37 ล้านตัน หรือประมาณ 74,998
ตัน/วัน โดยคนไทยมีส่วนสร้างขยะวันละ 1.13 กิโลกรัม/คน/วัน ขณะที่ในปี 2561
ประเทศไทยมีปริมาณขยะเพิ่มขึ้นมากกว่า 50.6 ล้านตัน มาจากชุมชน 56% อุตสาหกรรม 43%
และสถานพยาบาล 1%
แม้ว่ากากอุตสาหกรรมจะมีปริมาณไม่มากเท่ากับขยะจากชุมชน เเต่นับเป็นขยะที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูงมากจึงต้องได้รับการจัดการที่เหมาะสม
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ปัจจุบันกากอุตสาหกรรม
แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. กากของเสียไม่อันตราย คิดเป็นกว่า
95% ของปริมาณกากอุตสาหกรรมทั้งหมด เช่น กากอ้อย เศษเหล็ก กากน้ำตาล เถ้าลอย
2. กากของเสียอันตราย เช่น
ตะกอนจากระบบบำบัดน้ำเสีย น้ำกรดจากการกัดผิวเหล็ก น้ำทิ้ง น้ำมันหล่อลื่นใช้แล้ว
เป็นต้น
ดังนั้นกากอุตสาหกรรมจำเป็นต้องได้รับการจัดการที่รัดกุม
ซึ่งแตกต่างกันไปตามประเภทขยะและข้อกฎหมายบังคับต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
โดยเฉพาะกากของเสียอันตรายที่มีเงื่อนไขในการติดตามตั้งแต่แหล่งกำเนิดขยะ
การขนส่งอย่าง ระบบเอกสารกำกับ การขนส่งของเสียอันตราย (Manifest System) รวมถึงการบำบัด ซึ่งไม่เพียงกำหนดคุณสมบัติในการรับเข้าบำบัดแล้ว
ยังต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงเข้ามากำจัดที่เหมาะสมด้วย
อย่างไรก็ตามสำหรับกากอุตสาหกรรมที่ไม่อันตราย
แม้จะไม่มีกฎหมายข้อบังคับมากเท่ากากอุตสาหกรรมอันตราย แต่ก็มีความจำเป็นที่จะต้องตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เหมาะสม
ตลอดทั้งมีการบริหารจัดการพื้นที่กำจัดขยะอย่างรัดกุม รวมถึงด้านความปลอดภัย
เพราะมีโอกาสที่จะปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมหรือเป็นสาเหตุให้เกิดอันตรายได้
จากข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรมในปี
2562 ระบุอีกว่า ในพื้นที่โครงการเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) มีปริมาณกากขยะอุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้วอยู่ที่ประมาณ
2 แสนตัน ส่วนใหญ่เป็นประเภทของเสียไม่อันตราย หรือคิดเป็นกว่า 70%
ซึ่งกากขยะอุตสาหกรรมพบได้มากที่สุดในจังหวัดระยอง คิดเป็น 51%
ของปริมาณกากขยะจากอุตสาหกรรมในพื้นที่ ‘อีอีซี’
ทั้งหมด
โดยตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา ภาครัฐสนับสนุนให้กลุ่มนักลงทุนเข้าไปลงทุนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในพื้นที่
‘อีอีซี’ เริ่มส่งผลให้มีจำนวนโครงการที่ได้ขอรับการส่งเสริมการลงทุนในปี
2562 เพิ่มขึ้นกว่า 32% เมื่อเทียบปีต่อปีโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์, ยานยนต์และชิ้นส่วน,
เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์
ธุรกิจกำจัดขยะโอกาสเปิดกว้างในอีอีซี
ธุรกิจกำจัดกากอุตสาหกรรมเป็นธุรกิจไม่ค่อยมีผู้เล่นรายใหม่
เพราะต้องใช้เงินลงทุนสูง
จำเป็นต้องมีความรู้และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อระบบต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นระบบการขนส่ง, ระบบคัดแยกและแปรรูป, ระบบบำบัด และอื่นๆ รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงในการขนส่งกากขยะอุตสาหกรรมมายังโรงบำบัด
โดยเฉพาะกากขยะอันตรายที่การขนส่งต้องเป็นไปอย่างรัดกุม ตรงตามที่กฎหมายกำหนด
ซึ่งภาครัฐได้เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว
จึงกำหนดนโยบายเพื่อผลักดันให้เกิดการลงทุน
โดยให้ผู้ประกอบการที่ประกอบกิจการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากขยะ
โรงงานที่มีกระบวนการแปรรูปเพิ่มเติมและกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) สามารถได้รับการยกเว้นอากร
ทั้งการนำเข้าเครื่องจักร การนำเข้าเพื่อวิจัย และพัฒนาวัตถุดิบผลิตเพื่อส่งออก
และยกเว้นภาษีเงินได้ 8 ปี
ส่วนโรงงานคัดแยกขยะได้รับการยกเว้นภาษี
5 ปี
คาดว่านโยบายส่งเสริมจากภาครัฐจะสามารถแบ่งเบาค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงในธุรกิจดังกล่าว
อีกทั้งยังสามารถกระตุ้นให้เกิดการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของการจัดการกับปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อม
และยังส่งผลให้คุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยและคนทำงานในพื้นที่ ‘อีอีซี’ ดีขึ้นตามไปด้วย
‘การรีไซเคิล’ มูลค่าพุ่ง2.24แสนล้านบาทปี2024
‘การรีไซเคิล’ ถือเป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ขยะล้นเมืองหรือสิ่งของเหลือทิ้งต่างๆ ถูกนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่อย่างคุ้มค่าที่สุด
โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมประเมินว่าตลาดรีไซเคิลในไทย จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 5.7% จากปี
2019 ที่มีมูลค่า 1.7 แสนล้านบาท จะเพิ่มมูลค่าพุ่งสูงถึง 2.24 แสนล้านบาท ในปี
2024 หรือมีขนาด 1.2% ของจีดีพีรวมภายในประเทศเลยทีเดียว
สาเหตุที่ตลาดรีไซเคิลของไทยเติบโตก้าวกระโดดในอีก 5 ปีข้างหน้า
เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ Bio-Circular-Green Economy (BCG Model) ซึ่งให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่ามากที่สุด
รวมทั้งภาครัฐได้ตั้งเป้าหมายลดขยะพลาสติกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2027
การขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ได้สร้างความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อม และกระตุ้นความต้องการวัสดุรีไซเคิลในกระบวนการผลิต
แต่อุปสรรคสำคัญอยู่ที่การไม่คัดแยกขยะที่แหล่งกำเนิดอย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ในส่วนนี้ ‘รีไซเคิลแพลตฟอร์ม’
จะเข้ามามีบทบาทในการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ขายและผู้รับซื้อขยะรีไซเคิล
นำไปสู่การหมุนเวียนของขยะรีไซเคิลในวงจรเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
การจัดการขยะนับเป็น Pain Point สำคัญสำหรับอุตสาหกรรม โดยเฉพาะใน ‘อีอีซี’ ดังนั้นหากมีธุรกิจที่สามารถตอบโจทย์เรื่องนี้ได้ ย่อมมีโอกาสเข้าถึงขุมทรัพย์มหาศาลนี้ แต่สำหรับธุรกิจรายขนาดกลางและขนาดเล็ก การลงทุนระบบจัดการขยะอาจไม่ใช่ตัวเลขการลงทุนน้อยๆ
ดังนั้นผู้ที่สนใจธุรกิจนี้อาจจะศึกษา โดยนำโมเดลต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จมาประยุกต์ใช้ อาทิ การใช้แอปพลิเคชั่นในการรวมรวบขยะรีไซเคิลภายในเขตอุตสาหกรรม หรือที่พักอาศัยย่านอุตสาหกรรม เป็นลักษณะตัวแทนในการรวบรวมและส่งต่อให้โรงงานรีไซเคิล แม้จะไม่แปลกใหม่เท่าใดนัก แต่ปัจจุบันก็มีธุรกิจด้านนี้และถือว่าไปได้สวยเลยทีเดียว แถมยังเข้ากับเทรนด์รักษ์โลกที่เข้มข้นมากขึ้นทุกปีด้วย ดังนั้นนี่จึงเป็นโมเดลธุรกิจเพื่ออนาคตอย่างแท้จริง ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะต่อยอดมันได้อย่างไร